logoของเว็บครับ

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

~ Dragon Quest Reminiscence ~ Part III

~ Part III ~
1. สันติสุขที่มีมายาวนานของดินแดนอันแสนสงบ ต้องพลันพินาศลงด้วยข่าวการรุกคืบของ "จอมปีศาจบารามอส" ผู้มีรูปกายเป็นนกน่าเกลียดน่ากลัว...เหล่ามนุษย์ผู้อ่อนแอ ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากฝากความหวังไว้กับนักรบที่แกร่งกล้าที่สุดในผืนพิภพ นามว่า "ออเตก้า" ให้ปราบจอมปีศาจให้จงได้ !
ยอดนักรบออเตก้าได้ออกเดินทาง ต่อสู้กับเหล่าศัตรูร้ายกว่าครึ่งค่อนโลก ทิ้งภรรยา และลูกน้อยไว้ที่อาเลียฮานบ้านเกิด...ข่าวคราวการต่อสู้อย่างห้าวหาญของเขา ได้กระจายไปทั่วแผ่นดินไม่ขาดสาย...จวบจนถึงการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ ที่ปากปล่องภูเขาไฟเนโครกอนโด...ที่แห่งนั้น เป็นที่สุดท้าย ที่ผู้คนได้พบเห็นตัวยอดนักรบ
2. ห้วงเวลาแห่งความมืดมิดผ่านพ้นไปนานปี ไม่มีผู้ใดได้ข่าวคราว และพบเห็นตัวออเตก้าอีกเลย จนพระราชาแห่งอาเลียฮานได้ยอมรับอย่างเงียบๆว่า นักรบผู้ห้าวหาญ ได้จบชีวิตลงแล้ว และนั่นเป็นสัญญาณนับถอยหลัง ถึงความพินาศของมวลมนุษย์....
ทว่า "ความหวังสุดท้าย" ยังไม่สูญสิ้นไปเสียทีเดียว ยังคงมี "ทายาท" ของออเตก้า..."ผู้กล้า" ของเรา ที่พร้อมจะสืบทอดความฝัน และความหวังของผู้คนอยู่อีกนั่นเอง !!
...เมื่อถึงวันที่ผู้กล้ามีอายุครบ 16 ปี การเดินทางตามรอยเท้าของผู้เป็นพ่อ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น...โดยไม่รอช้า เขาจับดาบ และไปรวบรวมพลพรรค ผู้มีเป้าหมายเดียวกันจากร้านเหล้ารุยด้า และออกเดินทางสู่โลกกว้างโดยทันที !!
 
*: Tavern & Job
แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงสั้นๆ แต่ร้านเหล้ารุยด้า ก็กลายมาเป็นเทรดมาร์คสำคัญอีกอย่างของซีรีย์ ที่เป็นสถานที่รวมพลกันของเหล่าผู้กล้าจากทั่วสารทิศ ที่ต้องการจะจัดการจอมราชาปีศาจ ได้มารวมพล หาข้อมูล และจับกลุ่มกันและกัน...ในการ์ตูนอีกมากมายหลายเรื่อง ก็มักใช้สถานที่แห่งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง
ใน DQ3 นี้ เราสามารถฟอร์มทีมกับสมาชิกได้สูงสุดถึง 4 คน โดยเลือกเพศ และอาชีพของเพื่อนได้ตามใจชอบ ทั้งนักรบ นักสู้ นักบวช นักเวทย์ โจร ตัวตลก พ่อค้า...และเมื่อถึงเนื้อเรื่องดำเนินไปถึงจุดนึงแล้ว ก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นอาชีพอื่น โดยยังเก็บทักษะของอาชีพเดิมไว้ได้อีกด้วย !! ระบบ "อาชีพ" อันแสนฮิตของเกมส์ภาษาในยุคหลังๆนั้น ก็ได้รับการบุกเบิกมาจาก DQ ภาคนี้นี่เอง !
 
3. คณะผู้กล้า ได้ออกเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ซึ่งตลอดเส้นทางนั้น นอกจากจะได้ตามรอย รับฟังเรื่องราวการเดินทางของผู้เป็นพ่ออยู่ไม่ขาดสายแล้ว พวกเขายังต้องไปข้องเกี่ยวกับภารกิจต่างๆมากมาย จนได้รับกุญแจเวทย์มนตร์ และกุญแจขโมย มาช่วยในการเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่เคยได้เข้าใกล้
และแล้ว เมื่อนำ"พริกไทยดำ"อันล้ำค่าจากตะวันออกกลางมามอบให้กับพระราชา...ผู้กล้าก็ได้รับเรือใบลำใหญ่เป็นรางวัลตอบแทน...และพร้อมที่จะเดินทางสู่เป้าหมายโดยทันที !
...ทว่า ปราสาทแห่งบารามอสนั้น ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึก และมีภูผาสูงใหญ่ กับแม่น้ำกว้างเป็นปราการธรรมชาติ...ชนิดที่ไม่มีมนุษย์หรือพาหนะใดจะเดินทางไปถึงได้เลย...การเข้าถึงตัวจอมปีศาจ ดูจะไม่ตรงไปตรงมาเสียแล้ว...
 
4. ข่าวคราวจากผู้คนในเมืองต่างๆ นำพาเหล่าผู้กล้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนหิมะ ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาไข่ของ "นกอมตะ ลาเมีย" สัตว์วิเศษของเหล่าทวยเทพ...หากผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ สามารถเก็บรวบรวมลูกแก้ววิเศษทั้งหกมาได้ครบแล้ว ก็จะสามารถปลุกนกอมตะ และใช้มันเป็นพาหนะ บินไปได้กระทั่งสรวงสวรรค์ !!
แม้จะเป็นภารกิจที่ยากยิ่ง แต่เหล่าผู้กล้า ก็ตัดสินใจที่จะเดินทางค้นหาลูกแก้วทั้งหก ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก โดยมีเพียง ขลุ่ยเสียงสะท้อน เป็นอุปกรณ์หนึ่งเดียวที่ใช้ตามหาลูกแก้ว คอยฟังจากเสียงที่สะท้อนก้องตอบกลับมา...บุตรแห่งออเตก้า ได้เสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วน...ทั้งค้นหาจากคลังสมบัติโจรสลัด ได้รับจากนักโทษผู้ถูกคุมขัง ส่งมอบจากเมืองที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อตั้ง บุกทะลวงถ้ำลึกด้วยตัวคนเดียว ช่วยกำจัดงูยักษ์ในตำนาน ฯลฯ
------------------------------------- 
5. ...หลังจากการเดินทางที่แสนยาวนาน ผู้กล้าก็ได้ใช้กระจกแห่งรา เปิดโปงร่างจริงของราชาตัวปลอม นำไม้เท้าแปลงร่าง ที่ยึดได้ ไปแลกกับกระดูกลูกเรือ เพื่อนำทางไปหาล็อคเกตแห่งความรัก เอาไปใช้ปลดปล่อยวิญญาณคู่รักที่เร่ร่อนกลางมหาสมุทร ได้รับดาบไกอาเป็นการตอบแทน และใช้มัน จุดประทุภูเขาไฟเนโครกอนโด...เปิดทางไปสู่ลูกแก้วลูกสุดท้ายได้เป็นผลสำเร็จ!! และนำลูกแก้วทั้งหก ไปปลุกวิหคอมตะ ลาเมีย ให้ฟักตัวออกจากไข่ได้ในที่สุด !!
บุตรแห่งออเตก้าไม่รอช้า ขึ้นขี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพ และบินตรงไปยังปราสาทแห่งบารามอสกลางขุนเขาโดยทันที...ใช้เวลาไม่นานนัก การต่อสู้ก็จบลง....คณะผู้กล้า สามารถปราบจอมปีศาจได้สำเร็จ !! สันติสุขก็กลับคืนสู่ผืนดิน !!

*: Day & Night
หนึ่งในสุดยอดพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นมาในภาคนี้ คือระบบ "กลางวัน-กลางคืน" ที่ตัวเกมส์จะมีการสลับช่วงเวลาไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่เราเดินทางในทุ่งกว้าง ตั้งแต่เช้า จนถึงกลางคืน...และแน่นอนว่า ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ก็จะทำให้ในแต่ละสถานที่ มีเหตุการณ์พิเศษ และเงื่อนไขการได้รับไอเทมที่ไม่เหมือนกัน เพิ่มความลึกของเนื้อหา  มุขตลกยิบย่อย และภารกิจพิเศษมากมาย ให้ผู้เล่นได้ค้นหา ดังเช่น
- คู่รักต้องสาป ที่ถูกมนตร์สะกดของบารามอส ทำให้ไม่สามารถอยู่เคียงคู่กันได้...ฝ่ายชายจะต้องกลายเป็นม้าในช่วงเวลากลางวัน และฝ่ายหญิงจะกลายเป็นแมวในช่วงเวลากลางคืน...ไม่ว่าจะไปพบใคร ในช่วงเวลาไหน ก็จะได้รับรู้ความโดดเดี่ยวของแต่ละฝ่าย
- ทหารยามเฝ้าประตู ห้องสมบัติราชินี ที่ยืนยันเสียงแข็ง ไม่ให้เราเข้าไปหยิบสมบัติของราชวงศ์ได้โดยเด็ดขาด !...หากเราย่องมาในตอนกลางคืน จะพบว่า ทางโล่งสะดวก เพราะทหารยาม หนีไปนอนแล้วนั่นเอง...เลิกจ้างมันเถอะครับ ราชินี
- เมืองร้างเทดอน ที่พังทลายจากกองทัพของบารามอส หากเข้ามาในตอนกลางคืน จะพบเห็นวิญญาณของผู้คนในเมือง ที่ไม่รู้ว่าตัวเองได้จบชีวิตลงแล้ว ยังคงดำเนินชีวิตตามปกติ สามารถพูดคุย ขายของ หรือกระทั่ง ให้เรานอนพักแรมได้อีกต่างหาก!
ฯลฯ
 
6. งานเฉลิมฉลอง แสดงความยินดีกับเหล่าผู้กล้า ได้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่ปราสาทอาเลียฮาน...ทว่า รอยยิ้มที่เปื้อนหน้าของเหล่าผู้คน ก็พลันหายไปในบัดดล เมื่อเกิดสายฟ้าฟาดกึกก้องไปทั่ว และมีภาพมายาของอสูรขนาดมหึมาปรากฎขึ้นกลางห้องโถง...พร้อมกับป่าวประกาศว่า มันผู้นั้น คือ "จอมราชาปีศาจโซม่า" ผู้ปกครองโลกแห่งความมืดใต้พื้นพิภพ และเป็นนายใหญ่ที่แท้จริง ของจอมปีศาจบารามอสนั่นเอง !!
หลังจากทักทาย และกล่าวทิ้งท้ายว่า จะยังคงเดินหน้าทำลาย มอบความสิ้นหวังให้กับผู้คนแห่ง "โลกเบื้องบน" นี้ต่อไป...พระราชาและผู้คน ก็ถูกปกคลุมด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง...ผู้กล้าของเรารู้โดยทันทีว่า การเดินทางครั้งนี้ ยังคงมีต่ออีกยาวไกล...
นกอมตะลาเมีย ได้พาผู้กล้ามาส่งยังปราสาทแห่งราชินีมังกร ผู้สืบสายเลือดเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอคำปรึกษาในศึกครั้งใหญ่ที่จะมาถึง...ตัวราชินีแสนสวย ผู้กำลังจะจบชีวิตลงด้วยโรคร้าย ได้ส่งมอบไอเทมในตำนาน "ลูกแก้วแห่งแสง" เพื่อใช้ในการต่อสู้กับโซม่า ก่อนที่จะสิ้นชีวิตลง ทิ้งไว้เพียงลูกน้อยในไข่ใบเล็ก...ที่เธอคาดหว้งว่า จะเติบใหญ่มาสืบทอดตำแหน่ง "ราชามังกร" ที่ดีต่อไป

7. เหล่าผู้กล้าได้เดินทางผ่านหลุมไกอาขนาดใหญ่ ลงมายังโลกเบื้องล่างอันแสนมืดทึบ และได้พบเจอผู้คนจำนวนมาก...แต่ยิ่งสอบถามข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็รังแต่จะได้รับรู้เรื่องราวที่แสนสิ้นหวัง หดหู่ และดำมืดไม่ต่างจากบรรยากาศของโลกแห่งนั้นเลย
" พวกท่านมาจากโลกเบื้องบนสินะ ที่นี่คือ ดินแดนแห่งความมืด ที่ไร้ซึ่งแสงสาดส่อง นามว่า อเลฟการ์ด "
" สถานที่แห่งนี้ ปกคลุมด้วยความสิ้นหวัง...จอมราชาปีศาจโซม่า เก็บรักษาชีวิตมนุษย์ต่ำต้อยอย่างพวกเรา ไว้เพียงเพื่อเล่นสนุกเท่านั้น "
" ท่านจัดการบารามอสไปแล้วรึ? เจ้านั่นก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้ติดตามของโซม่าเท่านั้นล่ะ " 
" จอมปีศาจ...นิยมในการลิ้มรสความสิ้นหวัง รื่นรมย์กับความเกลียดชัง และดื่มด่ำกับน้ำตาแห่งความรวดร้าวของผู้อ่อนแออย่างเราๆไงล่ะ"
" พวกท่านมาจากอาเลียฮาน ที่แผ่นดินด้านบนงั้นรึ? ข้าเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนั้นมาจากใครซักคน..."
" ข้าคือพระราชาแห่งลาดาตอม หากท่านผู้กล้า คิดจะต่อกรกับจอมปีศาจร้าย ข้าก็พร้อมที่จะมอบความหวังให้ แม้ม้นจะน้อยนิดก็ตาม"
" ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีผู้กล้ามากมาย หาญกล้าหันคมดาบเข้าสู้กับโซม่า แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้กลับมาอีกเลย...ไม่เว้นแม้แต่ยอดนักรบ ออเตก้า ก็ตามที..."
---------------------------------
8. ท่ามกลางสารพัดข้อมูลที่สะเปะสะปะเหล่านั้น มีชื่อของ ยอดนักรบออเตก้าจากโลกเบื้องบน...พ่อของผู้กล้าอยู่ด้วย !! หรือความหวังลึกๆอันแสนริบหรี่จะยังคงมีอยู่จริง?...ผู้กล้าของเรา เก็บคำถามนั้นไว้ในใจ และออกเดินทางต่อโดยทันที
เมื่อได้นำโลหะในตำนาน โอริฮารูก้อน ไปตีเป็นดาบราชา และค้นหาชุดเกราะแสง ที่แข็งแกร่งไม่เป็นสองได้แล้ว คณะเดินทางก็พร้อมที่จะเข้าสู่ศึกสุดท้าย 
...แต่ปัญหาคือ ปราสาทแห่งจอมปีศาจโซม่า อยู่อีกฟากฝั่งของทะเล ไม่สามารถข้ามไปได้โดยง่าย...ผู้กล้าของเรา จึงต้องเริ่มออกรวบรวมไอเทมในตำนานของดินแดนอเลฟการ์ด อันได้แก่ "ไม้เท้าเมฆฝน" และ "หินแสงอาทิตย์" ตามคำกล่าวแต่หนหลังว่า...
"เมื่อสายฝนและแสงแดดสอดประสานกัน สายรุ้งจักบังเกิด เปิดเส้นทางพิชิตจอมมาร"

9. บุตรแห่งออเตก้า ได้เดินทางไปทั่วดินแดนแห่งอเลฟการ์ด จนได้ครอบครองขลุ่ยนางฟ้า ที่มีอำนาจวิเศษทั้งในการสะกด หรือคลายสะกดคำสาปทั้งปวงได้ และได้ใช้มัน ปลดปล่อยวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นทั้งผู้พิทักษ์ และผู้สร้างดินแดนแห่งอเลฟการ์ด นามว่า เทพเจ้ารูบิส !!
รูบิสต้องมนตร์สะกดของโซม่า ให้กลายเป็นรูปปั้นหินอยู่เนิ่นนาน เมื่อผู้กล้าได้คลายคำสาปให้ เธอจึงเห็นความหวังรำไร และส่งมอบ "เครื่องรางแห่งรูบิส" เพื่อคุ้มครองเหล่าผู้กล้าในการเดินทาง
ด้วยเครื่องรางรูบิส ผู้กล้าได้ไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์...ใช้พลังของไม้เท้าเมฆฝนและหินแสงอาทิตย์ ก่อกำเนิดเป็น "ลูกแก้วสายรุ้ง" สร้างสะพานทอดข้ามแม่น้ำใหญ่ พาผู้กล้าไปยังปราสาทจอมปีศาจโซม่า...เหล่าผู้กล้าบุกทะลวงปราสาทเขาวงกตไปจนแทบจะสุดปลายทาง
-------------------------------- 
ทว่าอีกไม่กี่อึดใจก่อนถึงตัวจอมปีศาจนั้น เบื้องหน้าของทุกคน ปรากฏร่างนักรบผู้หนึ่ง กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดด้วยตัวคนเดียว กับอสูรกายยักษ์ใหญ่ คิง ไฮดร้า....การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดและรุนแรง ชนิดที่คณะเดินทางได้แต่เพียงหยุดยืนนิ่งด้วยใจระทึก....ก่อนที่จะจบลง ด้วยความพ่ายแพ้ของนักรบผู้เก่งกล้า...นักรบที่มีใบหน้าคุ้นเคยแต่หนหลัง...ออเตก้า พ่อของเรานั่นเอง !!
เลือดไหลรินไม่หยุด สติของออเตก้าเริ่มเลือนราง มองไม่เห็น และไม่ได้ยินสิ่งใด...รับรู้เพียงเงาวูบวาบของคณะผู้กล้า เขาทำสิ่งใดไม่ได้ นอกจากฝากฝังคนแปลกหน้าเหล่านั้น...ว่าหากมีโอกาส ขอให้ช่วยส่งต่อคำสั่งเสียไปยังลูกชายเพียงคนเดียวของเขา ว่าเขารักลูกชายคนนั้นมากเพียงไร และขอโทษอย่างที่สุด ที่ไม่สามารถนำสันติสุขกลับคืนมาได้อย่างที่สัญญาไว้...
ออเตก้า สิ้นลมคาอ้อมกอดของลูกชายตนในที่สุด
 
10. ความโกรธแค้นผลักดันผู้กล้า ให้พุ่งไปยังห้องบูชาสุดท้าย และปราบสมุนสนิท คิง ไฮดร้า และบารามอสซอมบี้ได้ในชั่วอึดใจ ก่อนเข้าเผชิญหน้ากับจอมปีศาจโซม่าโดยไม่รีรอ
...ลูกแก้วแห่งแสงที่ได้จากราชินีมังกร ช่วยปลดเกราะแห่งความมืด ที่ปกป้องจอมราชาปีศาจจากเวทย์มนตร์ทุกชนิด เหล่าผู้กล้าแห่งโลกเบื้องบน ร่วมแรงกัน จนสามารถกำราบเจ้าแห่งความมืด ลงไปกองกับพื้น และพบกับจุดจบเป็นผลสำเร็จ !!
ทว่า ก่อนที่จะสลายไปเป็นธุลี ตัวโซม่าไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดส่งท้าย วลีคลาสสิคจากดรากอน เควสต์ ที่ภายหลังถูกนำไปดัดแปลงใช้อีกหลายต่อหลายเรื่อง ดังว่า
" ผู้กล้า! จงฟังคำข้า...ตราบใดที่ยังมีแสงสว่าง ความมืดก็จะยังคงอยู่...ข้ามองเห็น! ในความมืดที่มืดมิดยิ่งกว่า จะมีคนเช่นข้า ปรากฏตัวออกมาอีกอย่างแน่นอน...หากแต่ว่า กว่าจะถึงช่วงเวลานั้น ตัวเจ้าเอง ก็คงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า......."
 
ขาดคำ จอมมารก็สลายไป ผู้กล้าหนีจากปราสาทที่ถล่มทลายลงได้ทันเวลา และด้วยพลังของลูกแก้วแห่งแสง...แสงสว่าง ก็เริ่มสาดส่องไปทั่วดินแดนแห่งอเลฟการ์ดอีกครั้ง...
น้ำตา และเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของผู้คน กึกก้องไปทั่วโลกใต้พิภพ ผู้คนต่างสรรเสริญในวีรกรรมของผู้กล้า ตัวพระราชาแห่งลาดาตอม ก็ปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก และได้แต่งตั้งผู้กล้าของเรา ให้เป็นยอดนักรบที่แท้จริง และมอบนามที่คู่ควรกับเกียรติสูงสุดนั้นว่า "ผู้กล้า โรโตะ" !!!
ดาบราชา ชุดเกราะแสง และเครื่องรางแห่งรูบิส ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นดาบโรโตะ ชุดเกราะโรโตะ และสัญลักษณ์แห่งโรโตะ....ส่วนตำนานเล่าขานถึงวีรกรรมผู้กล้า ก็ได้ถูกส่งมอบสืบไปจากรุ่นสู่รุ่น ในฐานะ ผู้กล้าโรโตะ ผู้ปัดเป่าความมืดมิด และนำแสงสว่างมาสู่ดินแดนแห่งอเลฟการ์ด สืบไป !!
~ Dragon Quest III ~
~ Fin ~

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น