logoของเว็บครับ

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

~ Dragon Quest Reminiscence ~ part V

~ Part V ~ 
ตามตำนานเล่าขาน...เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก ได้แบ่งดินแดนทั้งหมดออกเป็นสามส่วน สำหรับเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง...โลกเบื้องบน สำหรับชนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้พำนัก โลกกึ่งกลาง สำหรับเหล่ามนุษย์ได้อาศัย และโลกเบื้องล่าง สำหรับกลุ่มปีศาจร้ายได้ครอบครอง...
ดินแดนทั้งสาม ต่างแยกจากกันเป็นเอกเทศ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน จะมีเพียงแค่เหล่าผู้คนแห่งเมืองเอลเฮเวน (Elhaven/Loffty Peak) สายเลือดซึ่งพระเจ้ารักใคร ที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ประตู (The Gatekeeper) เท่านั้น ที่ครอบครองความสามารถในการเปิดปิดเส้นทางที่เชื่อมระหว่างโลกที่แตกต่าง
...เรื่องราวของเรา เริ่มต้นขึ้นในวันที่เด็กน้อยได้ถือกำเนิดขึ้น...จากสายเลือดของหญิงงาม ผู้วิเศษจากเมืองศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
-----
Childhood
1. ตั้งแต่จำความได้ เด็กน้อย พระเอกของเราก็ออกเดินทางท่องโลกกับปาปัส (Papus/Pankraz)ผู้เป็นทั้งพ่อและนักรบผู้กล้าหาญในใจของเขาเสมอ...ตัวเขายังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจจุดประสงค์ และเป้าหมายของการเดินทางนานนับปีครั้งนี้...รู้เพียงว่า พ่อออกท่องโลก เพื่อค้นหา"สิ่งสำคัญ"บางอย่างที่เขาไม่ได้สนใจ
เมื่อครั้งที่พ่อพาเขากลับมายังเมืองซานต้า โรสที่เคยมาอาศัยอยู่เมื่อหลายปีก่อน เด็กน้อยได้พบกับคนคุ้นเคยอีกครั้ง...ทั้งคนสนิทของพ่อ คุณลุงตัวใหญ่ใจดี ซันโจ (Sancho) และสาวน้อยผมทองหน้าตาสะสวย นามเบียนก้า (Bianca)
ด้วยความที่มีอายุมากกว่าถึงสองปี และมีบุคลิกที่แก่นแก้วเกินหญิงทั่วไป ทำให้เบียนก้าเป็นคนที่ชอบเข้ามาดูแล และลากเด็กน้อยออกไปผจญภัยกันสองคนอยู่เสมอ
มาครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน เพื่อที่จะช่วยเสือน้อยที่ถูกรังแก ทั้งสองจึงได้เข้าไปผจญภัยในคฤหาสน์ผีสิงของท่านเคานต์ Uptaten...และได้จับพลัดจับผลู จัดการกับเหล่าผีร้ายอย่างทุกลักทุเล ช่วยปลดปล่อยวิญญาณของท่านเคานต์และภรรยาให้ไปสู่สุคติ จนได้รับ "ลูกแก้วทองคำ" อันน่าพิศวงมาเป็นรางวัล และช่วยเสือจิ๋ว โบรองโก้ (Borongo / Sabrecat)ได้สำเร็จ
 
2. ...แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา เพื่อนทั้งสองจำต้องแยกจากกันในที่สุด เบียนก้าไม่ลืมที่จะให้สัญญากับเด็กน้อยไว้ว่า ซักวันหนึ่ง จะต้องกลับมาพบกันใหม่ และร่วมผจญภัยไปด้วยกันอีกครั้ง...
การเดินทางของปาปัสก็ยังดำเนินต่อไป เขาพาลูกชายไปยังปราสาทไรฮาร์ท (Reinhar/Coburg) เพื่อพบปะพระราชาที่เป็นเพื่อนเก่า และที่นั่น พระเอกของเรา ก็ได้ไปพบกับเจ้าชายเฮนรี่...ว่าที่ผู้สืบทอดราชบัลลังค์คนต่อไป ที่มีนิสัยซุกซน ชอบก่อความวุ่นวาย และมักสร้างความลำบากใจให้คนรอบข้างเสมอ
แท้ที่จริงแล้ว ตัวเฮนรี่เอง ไม่ต้องการจะขึ้นเป็นราชาองค์ต่อไป และรู้ดีว่า แม่ของตน ต้องการผลักดันเจ้าชายวิลเบอร์...น้องชายของเขาให้ขึ้นครองราชย์เสียแทน
และวันหนึ่ง เหตุร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อกลุ่มโจรร้ายได้ลอบเข้ามาลักพาตัวเฮนรี่ไป และวางแผนจะขายเจ้าชายไปเป็นทาสสร้างวิหารลัทธิแห่งความมืด ตราบจนชีวิตจะหาไม่
3. ปาปัส ลูกชาย และโบรองโก้ รีบบุกไปยังที่ซ่องสุม และช่วยเฮนรี่ออกจากที่คุมขังได้สำเร็จ...แต่ก่อนที่จะได้กลับมานั้น ทั้งสามก็ได้เผชิญหน้ากับเกม่า (Gema/Bishop Ladja) ผู้นำแห่งทัพปีศาจจากโลกใต้พิภพ ที่ต้องการกวาดต้อนเด็กน้อยจำนวนมากไปเป็นแรงงานนั่นเอง !
ปาปัสกำจัดสมุนสนิท Kon the Knight และ Slon the Rook ได้อย่างง่ายดาย...แต่เมื่อเกม่าใช้วิธีสกปรก นำลูกชายมาเป็นตัวประกัน...ยอดนักรบจึงสิ้นท่า ทำได้เพียงยืนนิ่ง รับการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
ในห้วงสติที่เลือนลาง ปาปัสรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย กระซิบบอกลาลูกชาย และทิ้งท้ายไว้ว่า...การเดินทางหลายต่อหลายปีที่ผ่านมานั้น มีจุดหมายสูงสุดก็คือ การช่วยเหลือ "มาร์ธ่า" (Mathar/Madalena) ภรรยาสุดที่รัก และแม่ของเด็กน้อย ที่เคยบอกว่าเสียชีวิตไปตั้งแต่หนหลัง
ขาดคำ เกม่าใช้เวทย์มนตร์เผาร่างของปาปัสจนสลายเป็นธุลี ก่อนจะพาตัวเด็กทั้งสองบินหายไป...ทิ้งไว้เพียงเสือน้อยโบรองโก้ และเศษซากกระจัดกระจายของลูกแก้วทองคำ สมบัติล้ำค่าของเด็กน้อยเพียงเท่านั้น...
...และห้วงเวลาของนรกบนผืนดิน ก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
Adolescence
1. ช่วงเวลาอันมืดมิดและทุกข์ทนในการเป็นทาส ได้ผ่านพ้นไปถึงสิบปี...เด็กน้อยก็ได้เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มกำยำและหล่อเหลา แต่ทั้งเขาและเฮนรี่ยังคงทำงานอย่างหนักหน่วงอยู่ในวิหารของเหล่ามารร้าย ที่มีชื่อลัทธิน่าเกรงขามว่า "Order of Zugzwang"
และแล้ว วันแห่งชะตากรรมก็มาถึงชายหนุ่ม เขาสองคนได้รับการไหว้วานอย่างลับๆ จากผู้คุมทาสคนหนึ่ง ให้ช่วยพาน้องสาวของเขา มาเรีย ซึ่งถูกกักขังอยู่ หนีออกไปด้วยกัน
ด้วยความช่วยเหลือที่เสี่ยงชีวิตของผู้คุม ทำให้ทั้งสามลักลอบหนีมาได้ในถังเก็บซากศพ ลอยตามน้ำจนมาถึงโบสถ์แม่ชีในที่สุด...อิสรภาพครั้งแรกในรอบสิบปี ช่างยิ่งใหญ่เกินจะกล่าว !
มาเรียซาบซึ้งใจทั้งสองที่ช่วยให้เธอรอดชีวิตมาได้ และร่ำลา ขออุทิศตนเป็นแม่ชีในวิหารแห่งนี้ต่อไป...
2. ชายหนุ่มและเฮนรี่ ก็ออกเดินทางตามรอยเท้าของพ่อ จนได้ไปพบกับสถานที่กบดานลับๆแห่งหนึ่งของปาปัส พร้อมกับจดหมายที่ถูกเขียนทิ้งไว้ จ่าหน้าถึงลูกชาย ในกรณีที่ผู้เป็นพ่อด่วนจากไปก่อนนั่นเอง
ปาปัสเขียนอธิบายเรื่องราวทั้งหมด ให้กับลูกชายที่น่าจะโตเพียงพอแล้ว และเมื่อรวมเข้ากับข้อมูลที่ได้ในภายหลัง...ชิ้นส่วนที่รวมกันเป็นชาติกำเนิดของชายหนุ่มก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
มาร์ธาเป็นผู้สืบสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองเอลเฮเว่น จึงทำให้เธอครอบครองพลังเก่าแก่ที่สาบสูญ ซึ่งใช้ควบคุมประตูระหว่างโลกทั้งสาม...ดังนั้น รากเหง้าแห่งความชั่วร้ายจากโลกใต้พิภพ มิลดราธ (Mildrath/Grandmaster Nimzo) จึงพาตัวหญิงสาวไป เพื่อบังคับให้ใช้พลังแห่งพระเจ้านั้น เปิดเส้นทางจากโลกใต้พิภพ สำหรับยาตรากองทัพใหญ่ของตน ขึ้นมายังโลกมนุษย์ให้จงได้ !!
ปาปัสเร่งร้อนอยากจะช่วยภรรยามาโดยตลอด...แต่คนธรรมดาสามัญ ไม่สามารถลงไปยังโลกใต้พิภพได้โดยง่าย...จากตำนานเล่าขานนั้น อีกหนึ่งผู้ที่สามารถเดินทางระหว่างโลก และกำจัดจอมปีศาจได้ ก็มีเพียง "ผู้กล้า"ในตำนาน ที่สวมใส่เซตอุปกรณ์แห่งนภา (Zenithian Equipment) เท่านั้น !!
----------
คนทั่วไปล้วนกล่าวว่า ผู้กล้าแห่งนภา เป็นเพียงตำนานเล่าขาน แต่ปาปัสก็ออกเดินทางอย่างไม่ย่อท้อมาตลอด...แม้จะไม่พบตัวผู้กล้า เขาก็สามารถค้นพบดาบแห่งนภาได้ในที่สุด !!
แต่แม้จะเก่งกล้าสามารถ ปาปัสก็ไม่สามารถใช้ดาบแห่งนภาได้...แล้วผู้สืบสายเลือด ที่ถ่ายทอดมาจากชายยอดนักรบ กับหญิงเผ่าศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?...ชายหนุ่มกลั้นใจ หยิบดาบแห่งนภามาถือให้มั่น...แต่ดาบเล่มนั้นก็พลันหนักอึ้ง ร่วงหล่นจากมือ พร้อมกับความเป็นจริงที่ต้องยอมรับว่า...พระเอกของเรา...ก็ยังไม่ใช่ผู้กล้าในตำนาน !!
3. ช่วงเวลาที่ห่างหายไปกว่าสิบปี โลกภายนอกได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เลวร้ายลงอย่างที่ทั้งสองคาดไม่ถึง...หลังจากที่เจ้าชายอันดับหนึ่งอย่างเฮนรี่ได้หายสาบสูญไป ทำให้ตำแหน่งผู้ปกครองประเทศ ต้องตกเป็นของน้องชายอย่างเลี่ยงไม่ได้...แต่อำนาจที่แท้จริง กลับอยู่ในมือของราชินีผู้เหี้ยมโหด ก่อสงครามระรานบ้านใกล้เรือนเคียงไปอย่างไม่หยุดหย่อน
เฮนรี่สามารถลอบเข้าไปพบกับน้องชายของตน และได้รับรู้ถึงความผิดปกติในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งตบปากรับคำ จะเปิดโปงเรื่องราวน่าสงสัยเหล่านี้ให้จงได้ !
เมื่อทั้งสองได้พบกับ"ราชินี" ตัวจริงที่ถูกขังอยู่ที่คุกใต้ดิน ความเป็นจริงก็กระจ่างชัด...เจ้าหล่อนนี่เอง ที่เป็นคนวางแผนการลักพาตัวเมื่อสิบปีก่อน เพื่อผลักดันลูกชายของตนให้ขึ้นครองราชย์...แต่กลับถูกซ้อนแผนโดยเหล่าปีศาจร้าย ที่เข้ายึดอำนาจแทนที่ตัวเอง
4. ด้วยความช่วยเหลือของแม่ชีสาวคนสวย มาเรีย ทำให้ทั้งสองสามารถเปิดประตูสู่หอคอยศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าได้สำเร็จ และก้าวไปยังสถานที่ซึ่งมีไว้พิสูจน์ศรัทธาและหัวใจอันบริสุทธิ์ของเหล่ามนุษย์
ที่ยอดสูงสุดของมัน มีไอเทมในตำนาน ที่จะสะท้อนเพียงภาพความเป็นจริงที่ไม่บิดเบือน นามว่า "กระจกแห่งรา" อยู่...ทั้งสามได้นำสิ่งนั้น กลับมาปัดเป่าภาพลวงตา เผยร่างที่แท้จริงของราชินีชั่วช้า ว่าเป็นเพียงปีศาจจำแลงเท่านั้น !!
ชายหนุ่มและเฮนรี่ กำจัดราชินีตัวปลอม นำความสงบสุขคืนกลับมาสู่ดินแดนบ้านเกิด และเฮนรี่ ก็ปฎิเสธตำแหน่งราชาที่น้องชายมอบให้ ขออยู่เป็นเพียงที่ปรึกษาส่วนตัว และแต่งงานกับมาเรียในที่สุด
5. เรื่องราวของชายคนหนึ่งจบอย่างมีความสุข แต่ของชายอีกคนยังเพิ่งจะเริ่มต้น...คุณพระเอกของเรา ร่ำลากับเพื่อนเก่าแก่ และสืบสานภารกิจที่รับมอบจากพ่อผู้ล่วงลับ ก็คือการตามหาผู้กล้าต่อไป
...ด้วยสายเลือดที่สืบทอดมาจากแม่ ทำให้ชายหนุ่มมีพลังในการผูกมิตร และสามารถชักชวนมอนสเตอร์ต่างๆให้เดินทางไปด้วยกันได้...เขาไม่รอช้า เสาะหาพลพรรคที่ทรงพลัง และได้พบเจอกับโบรองโก้ เสือคู่ซี้แต่หนหลังอีกครั้ง !! ทั้งคู่จึงออกผจญโลกกว้างไปโดยพร้อมเพรียงกัน
---------- 
*: System
ดรากอน เควสต์ ห้า "Hand of the Heavenly Bride" นี้ โดดเด่นในด้านของเนื้อหา ที่ดำเนินยาวนานหลายชั่วอายุ ผ่านเรื่องราวความรัก ความสุข ความเจ็บปวด และความพลัดพรากปะปนกันไป...ทำให้กวาดคะแนนด้านสเน่ห์ของตัวละคร ที่เคยเป็นจุดอ่อนสำคัญของซีรีย์ไปได้อย่างสวยงาม
ในแง่ของระบบเอง แม้จะถูกติงเรื่องของความท้าทายที่ลดน้อยลง ลดความยากของเกมส์ลงจากภาคก่อนๆ และแทบไม่มีบอสให้ยุ่งเกี่ยวมากนัก แต่ก็แทนที่ด้วยไอเดียแปลกใหม่ในการชักชวนมอนสเตอร์ที่ปราบได้ ให้มาร่วมกลุ่มกัน จัดปาร์ตี้บนรถม้า ค้นหาตัวละครลับอีกมาก ที่รอจะเข้ากลุ่ม (จากฉบับดั้งเดิม  40 ตัว...จนถึงรีเมคครั้งล่าสุด ก็มีมอนสเตอร์ที่สามารถชักชวนได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว และยังไม่รวมตัวละครลับนอกรอบอื่นๆอีก!)
มินิเกมส์ต่างๆก็อัพเกรดมากขึ้นกว่าเดิม และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่รีเมค ทั้งคาสิโนที่เล่นโป๊กเกอร์ สลอตแมชชีน เดิมพันมอนสเตอร์ ตีตัวตุ่นสไลม์ จนไปถึงบอร์ดเกมส์ทอยลูกเต๋าสุดระทึก T'n'T Board ที่เปิดโอกาสให้ล่าไอเทมหายากต่างๆมาอย่างง่ายดาย แม้กระทั่งเซตอุปกรณ์สุดยอด เมทัลคิง ก็ยังมีซุกอยู่ในหีบบนเกมส์กระดานด้วยซ้ำ
และเควสยิบย่อยอีกมาก ก็ถูกเพิ่มเข้ามาในฉบับรีเมค ในรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ของสะสม Knick-Knacks ที่เราใช้จัดแสดง"ของที่ระลึก"ที่ได้จากการเมืองต่างๆทั่วโลก เช่นอัญมณี ชุดน้ำชา หุ่นไล่กา เรือใบในขวดโหล หีบเพลงแต่งงาน ฯลฯ (ที่บางชิ้นก็สามารถอัพเกรด หรือนำมาใช้ในการต่อสู้ได้ด้วย) ...ซึ่งการจะได้ของแต่ละอย่าง ผู้เล่นก็ต้องค้นหา และเคลียร์เงื่อนไขหลากหลายให้ได้เสียก่อน บ้างก็ต้องใช้บริการร้านในเมือง บ้างก็ต้องไปเก็บนอกเมืองเฉพาะในยามเช้าตรู่ บ้างก็ต้องต่อสู้กับศัตรู บ้างก็ต้องเดินคุยเทียวไปเทียวมาอยู่หลายตลบ เป็นต้น
----------
6. การเดินทางท่องโลก เพื่อตามหาคนเพียงคนเดียวนั้นช่างยากลำบาก...ไม่ว่าจะไปยังแห่งหนไหน หรือกระทั่งค้นพบอุปกรณ์แห่งนภาเพิ่มขึ้นเพียงไร...ก็ไร้ซึ่งร่องรอยของผู้กล้าในตำนาน
เมื่อได้มาหยุดอยู่ที่เมืองซาราโบน่า (Salabona/Mostroferrato) ที่แห่งนี้ มหาเศรษฐีรูทแมน(Ludman/Briscoletti ) กำลังประกาศหาชายหนุ่มที่มีคุณสมบัติคู่ควรกับลูกสาวของตน ฟลอร่า (Flora/Nera) คุณหนูผู้งดงามและเพียบพร้อม...หากชายหนุ่มคนใด สามารถนำสมบัติลับในตำนาน แหวนแห่งไฟ และแหวนแห่งน้ำ ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในที่ๆสุดแสนอันตรายกลับมาได้ จะมีสิทธิ์ในการแต่งงานกับลูกสาวของตน และครอบครองสมบัติประจำตระกูล...โล่ห์แห่งนภา !!
----------
จะด้วยต้องการรางวัลล้ำค่านั้น หรือความถูกตาต้องใจสาวงามก็ตามที พระเอกของเราก็ได้ฝ่าฟันไปทั่วทวีป จนได้แหวนแห่งไฟมาครอง แต่ขณะที่กำลังหมดหนทางกับการตามหาแหวนวงที่สอง ชายหนุ่มก็บังเอิญได้มาพบกับ สาวงามผมสีทอง เพื่อนสนิทแต่หนหลัง เบียนก้า อีกครั้งหนึ่ง !!
...ชายหนุ่มที่เธอเข้าใจว่าไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว กลับปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เบียนก้าดีใจจนเหลือจะกล่าว และเมื่อได้ฟังว่า ชายหนุ่มกำลังค้นหาอุปกรณ์แห่งนภา เพื่อใช้ตามหาแม่ที่สาบสูญ และกำลังจะได้แต่งงานกับคุณหนูผู้ดีพร้อมด้วยแล้ว...ใครเลยจะรู้ว่า ใจนางคิดเช่นไร...เบียนก้าตบปากรับคำ ขอช่วยเหลือพระเอกของเราตามหาแหวนโดยทันที
...สองคู่หูจับคู่ร่วมเดินทางด้วยกันอีกครั้ง และสามารถหาแหวนวงที่สองมาได้เป็นผลสำเร็จ...มหาเศรษฐีถูกใจว่าที่ลูกเขยคนนี้มาก และเตรียมจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ทันที หากแต่คุณหนูฟลอร่า กลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ปกติ และมองเห็นสายสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างชายหนุ่มและเบียนก้า
สาวน้อยตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เพื่อความสุขของคนทั้งสาม...เธอยื่นข้อเสนอ ให้ชายหนุ่มตัดสินใจครั้งสำคัญ เลือกอย่างตรงไปตรงมา ว่าระหว่างตัวเธอและเบียนก้านั้น...พระเอกของเรา จะรักและต้องการใครอย่างแท้จริง !!
*: Wedding
ระบบที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดของภาค คือการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถเลือก"ภรรยา" มาเป็นคู่ชีวิตให้กับตัวเอกได้อย่างเสรี ระหว่างสาวแกร่งแอบหวาน เพื่อนสมัยเด็ก หญิงผมทองนามเบียนก้า กับสาวน้อยสไตล์คุณหนู น้องนางผู้น่าปกป้อง หญิงผมฟ้านามฟลอร่า
คำถามภาคบังคับ ที่อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต...ผู้เล่น DQ5 จะต้องยกมาถามก็คือ "จะแต่งกับใครดี?"...เป็นประโยคยอดฮิตที่ได้ยินมาจนถึงการรีเมคทุกวันนี้...ซึ่งหากผู้เล่นยังลังเลไม่พอ ในฉบับ DS ล่าสุดนั้น ได้มีการเพิ่ม"ตัวเลือกที่สาม"มาบีบคั้น เป็นสาวปากร้ายใช้กำลัง รักนะแต่ไม่แสดงออก พี่สาวผมดำนามเดโบร่านั่นเอง
พูดถึงความแตกต่างของทั้งสาม...ถ้าจะให้ตอบแบบไร้อารมณ์ อิงระบบ ก็จะแจงกว้างๆได้ว่า เบียนก้าจะเด่นที่เวทย์มนตร์สายโจมตี ฟลอร่าจะเด่นที่เวย์สายสนับสนุน ส่วนเดโบร่า จะเด่นที่พลังโจมตีทางกายภาพ
แต่ถ้าจะให้ตอบแบบติดโรแมนซ์ อิงเนื้อเรื่อง ก็จะได้ว่า เบียนก้ามีภาษีที่เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็ก มีเรื่องราวและคำสัญญาแต่หนหลังมาด้วยกัน และยังมีพ่อที่ป่วยหนัก ฝากฝังไว้กับเราอีกต่างหาก
ฟลอร่า ถูกวางคาแรกเตอร์เป็นคุณหนูสมบูรณ์แบบ ผ่านการฝึกฝนและอบรมจากโบสถ์แม่ชีมาอย่างงดงามหมดจด และถูกชะตาตัวเอกของเราตั้งแต่แรกพบ ในขณะที่ชายหนุ่มเอง ก็สนใจเจ้าหล่อนไม่น้อยเช่นกัน
เดโบร่า เป็นพี่สาวอารมณ์ร้อน ปากร้าย และดูไม่น่าคบหา แต่จะมีนิสัยลึกๆที่ละเอียดอ่อน แสดงออกไม่ตรงไปตรงมา และน่าค้นหาในลักษณะของกุหลาบสีดำที่มีหนามแหลมบาดมือ
7. จะอย่างไรก็แล้วแต่ พระเอกของเราก็แต่งงานกับหญิงที่ตนเลือก ได้รับโล่ห์นภามาครอง และรักษาสัมพันธภาพกับอีกฝ่ายไว้ได้...คณะเดินทางของคู่รัก ก็ออกตามหาผู้กล้าในตำนานต่อไป
การผจญภัยขึ้นเขาลงห้วย ผ่านไปนานนับปี ในที่สุด โชคชะตาก็พาให้ชายหนุ่มหวนคืนสู่สถานที่คุ้นเคยแต่หนหลัง...ปราสาทโกธา (Granbania/Gotha)...และความจริงเหนือชาติกำเนิดของชายหนุ่มก็ปรากฎขึ้น...ปาปัสผู้พ่อ เป็นผู้สืบสายเลือดของราชา และเป็นอดีตผู้ปกครองดินแดนแห่งโกธานี้นั่นเอง !
ชีวิตของชายหนุ่มเข้าสู่ช่วงผันแปรอย่างรวดเร็ว...คุณอาที่เป็นผู้ปกครองเมืองคนปัจจุบัน คิดจะส่งมอบตำแหน่งให้กับผู้สืบทอดอันชอบธรรม ในขณะที่ภรรยาของเขา ก็กำลังท้องแก่ใกล้จะคลอด
พระเอกของเราได้ผ่านการทดสอบเพื่อรับตำแหน่งราชา ในขณะที่ภรรยาของเขา ก็คลอดลูกออกมาได้อย่างปลอดภัย เป็นฝาแฝดชายหญิง หน้าตาน่ารักน่าชัง สายเลือดที่เขาภาคภูมิใจ!
8. งานเลี้ยงเฉลิมฉลองเรื่องน่ายินดีมากมาย ดำเนินต่อไปไม่ทันข้ามคืน ฝันร้ายก็พลันหวนกลับมาอีกครั้ง...เมื่อปีศาจจากโลกใต้พิภพ ได้ลักพาตัวภรรยาของเราไป เหมือนเช่นที่เกิดกับแม่เมื่อหลายสิบปีก่อน !
ชายหนุ่มทิ้งลูกน้อยไว้ และรีบตามไปช่วยภรรยาที่รักทันที ก่อนที่จะได้เผชิญหน้ากับม้าปีศาจ Kon The Knight...ศัตรูเก่าแต่หนหลัง และรู้ความจริงว่า ทั้งหมดเป็นแผนลวง เพื่อจัดการก้างค้ำคอที่คอยตามหามาร์ธา-ผู้พิทักษ์ประตูคนสำคัญ ให้สิ้นชีวิตลงนั่นเอง
ด้วยเกราะแห่งความมืดที่ปกคลุมอยู่ ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถทำอะไรฆาตรกรผู้สังหารพ่อของตนได้เลย แต่เมื่อถึงวินาทีเป็นตาย ภรรยาของเราก็ได้กระโดดเข้ามาท่ามกลางการต่อสู้ และฉับพลัน แสงสว่างวาบก็พลันก่อเกิด! เกราะแห่งความมืดถูกปัดเป่าไป คมดาบของชายหนุ่มทะลวงกายเนื้อของปีศาจร้าย...ม้าปีศาจกอน พ่ายแพ้ลงในที่สุด !!
ด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฝ่ายปีศาจก็พลันรู้แจ้งขึ้นมาในทันที ว่าภรรยาของเรานั้น ไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นผู้สืบเชื้อสายศักดิ์สิทธิ์...สายเลือดจากฟากฟ้า...สายเลือดของชาวนภาในตำนานนั่นเอง !!
...เกม่าไม่รอช้า ร่ายคำสาปที่มืดมิดสุดหยั่งเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม สาปเราและภรรยาให้กลายเป็นรูปปั้นหินในพริบตา ! และคนรักทั้งสอง ก็จำต้องพลัดพราก ถูกแยกไปคนละด้านของแผ่นดิน...
...วันคืนหมุนเวียนผ่านไปนานนับปี...รูปปั้นหิน อดีตราชาแห่งโกธา...ก็ตั้งตระหง่านอยู่ในเกาะร้างที่ห่างไกล มิได้ไหวติง...
 
*: Term & Chess
หลังจากวีรกรรมแต่หนหลัง ที่เปลี่ยนชื่อคาถาเป็นภาษาอังกฤษแบบไม่ไว้หน้าแฟนๆแล้ว...ผ่านมาหลายปี ทีมงาน Localization ของบริษัทก็ได้สร้างเสียงฮือฮาอีกครั้ง ด้วยสารพัดไอเดียแสนบรรเจิด..."ยกเครื่อง" เปลี่ยนชื่อตัวละครและสถานที่ใหม่แบบไม่มีชิ้นดี...จนแฟนเก่าหลายคนงงเป็นไก่ตาแตกทีเดียว ว่านี่คือใคร? ที่นี่มันที่ไหน? นามเหล่านี้ ท่านได้แต่ใดมา???
ตัวละครทั้งหลักและรอง ถูกปรับเปลี่ยนชื่อ และสอดแทรกสำเนียงหลายรูปแบบไว้ ทั้งสเปน แมกซิโก อังกฤษจ๋า และอื่นๆ...กระทั่งคำสบถ ก็ยังมีให้อ่านได้หลายชาติหลายภาษา
เบียนก้า สาวผมทองของเรา ก็พูดสำเนียงบริติชแบบบ้านๆ...ฟังยาก อ่านไม่คล่องเหมือนแต่ก่อน
ฟลอร่า ลูกสาวผู้ดี ก็เปลี่ยนชื่อไปคนละทิศทาง กลายเป็นเนร่าไปเสียอย่างนั้น (ซึ่งอาจเป็นได้ว่า ปรับแค่ให้ตรงกันข้ามกับชื่อของเบียนก้า...ด้วยเพราะ Bianca และ Nera ในภาษาอิตาลี จะหมายถึง "White" กับ "Black" ตามลำดับ)
ยังไม่นับชื่อสถานที่ สิ่งของและผู้คนอีกมาก ที่ไม่เหลือกระทั่งเค้าโครงเดิม จนแฟนเกมส์เวอร์ชันญี่ปุ่น กับอเมริกา แทบจะจูนกันไม่ติด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธีมหลักอีกอย่าง ที่ถูกสอดแทรกอย่างเกินพอดีตลอดทั้งภาค คือศัพท์ในแวดวง "หมากรุก" นั่นเอง
บรรดาบอสเกือบทั้งหมดในเกมส์ จะถูกเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ ให้เข้ากับตัวเบี้ยบนกระดาน ทั้ง Chimera Pawn/Kon the Knight/Slon the Rook/Bishop Ladja/Queen Ferz และ King Koral
ลัทธิบูชามารร้ายของกลุ่มดังกล่าว ก็เปลี่ยนจากชื่อเข้าใจง่าย Order of Light เป็นศัพท์เฉพาะไม่คุ้นหู อย่าง Zugzwang ซึ่งหมายถึงตาบังคับเดิน ที่ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเช่นไร ก็ล้วนแต่บีบให้ผู้เล่นตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอีกฝั่ง
ที่สุดของที่สุด แม้แต่บอสใหญ่เบ้งของภาค รากเหง้าแห่งความชั่วร้าย มิลดราธ ก็ถูกเปลี่ยนชื่อแบบไม่เกรงใจ กลายเป็น Grandmaster Nimzo...ตามชื่อ "Nimzowitsch" นักเล่น และนักเขียนชื่อดังแห่งวงการหมากรุกนั่นเอง !!
...ผู้เล่นหลายคนได้วิเคราะห์อย่างเหนือชั้น ว่าด้วยสัจธรรมเปรียบเปรย ชีวิตนั้นก็ไม่ต่างกับเกมส์กระดาน...แต่ผู้เล่นอย่างผม กลับมองว่า...Localization team ทำหน้ามึน จับยัดความชอบของตัวเองลงไปอย่างไม่เนียนเอาซะเลย !!
Adulthood
1. วันเคลื่อนเดือนคล้อย ฤดูกาลผ่านพ้นไปหลายต่อหลายปี...ช่วงเวลาที่ว่างเปล่าก็ถูกเติมเต็มอีกครั้ง พระเอกของเราถูกคลายจากคำสาป กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง...ด้วยฝีมือของซันโจ เพื่อนเก่าของปาปัสผู้พ่อ และเด็กน้อยฝาแฝดชายหญิง ลูกชายและลูกสาวที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้พบเจอนั่นเอง !!
...เมื่อครั้งที่เกม่าร่ายคำสาปใส่คู่รัก ก็เหตุเพราะหวาดกลัวสายเลือดอันเข้มข้นของชายหญิงคู่นี้ ที่อาจจะก่อเกิดเป็นทายาทที่น่าเกรงขามได้...แต่มารร้ายก็พลาดไปถนัดที่ไม่รู้ว่า ณ ตอนนั้น ทายาทของทั้งสอง ได้คลอดออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คุณลุงซันโจ เลี้ยงดูคู่ฝาแฝดมาตลอด พร้อมทั้งถ่ายทอดเรื่องราวความยอดเยี่ยมของพ่อแม่ที่สาบสูญให้มิได้ขาด...และวันหนึ่ง เด็กน้อยทั้งสองก็ได้ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อปลดปล่อยคำสาปเหล่านั้น จนได้มาพบเจอกับพ่อในที่สุด
แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงมากกว่านั้น ก็คือผลลัพธ์ของสายเลือดที่แสนเข้มข้นและยาวนาน...เลือดเนื้อเชื้อไขของชายหนุ่ม ที่สืบทอดมาจากกษัตริย์ยอดนักรบ กับหญิงสาวชนเผ่าแห่งพระเจ้า เมื่อได้มารวมกับของภรรยา ผู้สืบทอดสายเลือดศักดิ์สิทธิ์จากฟากฟ้า...ผลลัพธ์ที่ได้ จึงยิ่งใหญ่เกินที่ใครจะคาดคิด...ลูกชายของเรา จึงเกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติแห่งผู้กล้าในตำนาน เป็นนักรบที่สามารถสวมใส่อุปกรณ์แห่งนภาได้นั่นเอง !!!
2. บุคคลที่เฝ้าค้นหามานานปี กลับมาอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกนี่เอง ชายหนุ่มรู้สึกขำขันกับชะตากรรมที่ราวกับเล่นตลก และได้พาลูกรักทั้งสอง ออกเดินทางตามหารูปปั้นหินของภรรยาต่อไป
จุดหมายที่ต้องไปให้ถึงนั้น อยู่ที่สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา บนขุนเขาที่สูงเกินจะกล่าว...วิหารบูชามารร้าย-ลัทธิ Zugzwang ที่พระเอกของเรา เคยเข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อสร้าง เมื่อครั้งถูกจองจำเป็นทาส...
ด้วยพลังของชายหนุ่ม และผู้กล้าในตำนาน การเดินทางครั้งนี้จึงง่ายดายกว่าที่เคยเป็น...พวกเขาได้เปิดเส้นทางไปสู่ปราสาทแห่งนภาตามตำนานได้สำเร็จ เพื่อขอความช่วยเหลือจากมาสเตอร์ดราก้อน ผู้ปกครองโลกเบื้องบน...หากแต่ว่า ทั้งปราสาทแห่งนภา และมังกรเทพเอง ต่างพ่ายแพ้ต่ออำนาจมืดไปเสียแล้ว...ปราสาทจมลงสู่ก้นทะเลสาบ และมังกรก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
คณะผู้กล้า ได้เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากราชินีแห่งเผ่าแฟรี่ ผู้สร้างแหล่งขับเคลื่อนให้กับปราสาทนภาเมื่อหนหลัง...และได้ทราบว่า กลจักรสำคัญ ที่ควบคุมปราสาทนภา ก็ไม่ใช่สิ่งใดอื่น แต่เป็นลูกแก้วทองคำ ที่ร่วงหล่นสู่โลกมนุษย์ตั้งแต่ครั้งสวรรค์ล่ม...สมบัติล้ำค่าที่พังทลายไปแล้วของชายหนุ่มนั่นเอง !
3. ด้วยความช่วยเหลือของราชินีแฟรี่...พระเอกของเรา ได้ใช้พลังแห่งสายเลือด เดินทางย้อนกลับไปในห้วงเวลาแต่หนหลัง สู่โลกอดีตในความทรงจำของตัวเอง และสามารถนำลูกแก้วทองคำ มาจากตัวตนของตัวเองในกาลก่อนได้สำเร็จ
ปราสาทนภา เหินบินได้อีกครั้ง มาสเตอร์ดรากอน ก็กลับมามีพลังอีกหน พร้อมพาผู้กล้า ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า มุ่งไปยังวิหารแห่งมารร้าย ในรูปลัทธิจอมปลอมนั่นเอง
ชายหนุ่มและลูกรัก กำจัดปีศาจร้ายอย่างไม่หยุดยั้ง จนสามารถพิชิตจระเข้ร้าย Korol the King ผู้นำแห่งลัทธิชั่ว และช่วยเหลือภรรยาได้สำเร็จ...ครอบครัวของผู้กล้า ได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้งแล้ว !
4. เรื่องราวใกล้จะถึงบทสรุปลงด้วยดี แต่การเดินทางชั่วชีวิตของชายหนุ่ม ยังไม่ถึงจุดหมาย...มาร์ธ่า แม่ของเขา กำลังทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส อยู่ในโลกใต้พิภพ...แม้เจ้าหล่อน จะส่งสารมายังลูกชาย ให้เลิกคิดค้นหา และใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข...เพราะเธอจะใช้พลังเท่าที่เหลืออยู่ ปิดผนึกประตูมิติไปชั่วนิรันดร์
แต่ทั้งภรรยาและลูกต่างรู้ดีว่า ชายหนุ่มไม่มีทางยอมปล่อยให้แม่แท้ๆต้องจบชีวิตลงทั้งอย่างนั้นเป็นแน่...ทั้งหมดจึงร่วมแรง ใช้แหวนสามวงตามตำนานเล่าขาน เปิดผนึกประตู ลงสู่โลกใต้พิภพด้วยตัวเอง
นรกที่แท้จริง ช่างมืดมิดและน่ากลัวเหลือจะกล่าว..คณะผู้กล้าฝ่าฟันไปจนถึงหุบเขาแห่งความตาย...ก่อนที่จะได้พบเจอกับหญิงสาวที่ทั้งอ่อนล้าและร่วงโรย...มาร์ธ่า แม่ที่ถูกจองจำอย่างโดดเดี่ยวมาหลายสิบปีนั่นเอง !
5.
ความอบอุ่นของแม่ช่างยิ่งใหญ่นัก แต่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้สวมกอดผู้ให้กำเนิดได้นานพอ...แม่ของเขาก็ต้องกลับไปดำเนินการณ์ขั้นสุดท้าย...ปิดผนึกประตูเชื่อมต่อของสามโลกเป็นการถาวร
แต่ช่วงเวลาแห่งความเคียดแค้นที่ถูกกักขังมาหลายร้อยปี ทำให้มิลดราธ มีพลังปีศาจแกร่งกล้ายิ่งกว่าพระเจ้าบนสรวงสวรรค์...มันพร้อมแล้ว ที่จะเปิดประตูมิติด้วยตัวเอง และเริ่มต้นสาดเวทย์มนตร์แห่งความมืด ลงมาสังหารมาร์ธาจนสิ้นชีวิตลง !!
วิญญาณของมาร์ธ่า หวนกลับสู่อ้อมกอดของปาปัส คนรักที่พลัดพรากมานานปี...ในขณะที่ความโกรธเกรี้ยวเอ่อท้นออกมาจากใจชายหนุ่ม ทั้งหมดเร่งรุดเดินทางต่อไปยังใจกลางของหุบเขาปีศาจ และได้พบเจอกับเกม่าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะกำราบผู้นำทัพอสูร ฆาตกรผู้สังหารพ่อของตนได้ในที่สุด
และแล้ว คณะผู้กล้าก็ได้มาประจันหน้ากับรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง มิลดราธ...ที่แห่งนี้ มีพร้อมแล้วทั้งชายผู้สืบสายเลือดกษัตริย์อันแข็งแกร่ง เด็กน้อยผู้กล้าในตำนานที่ไม่เป็นสองรองใคร หญิงสาวสายเลือดจากศักดิ์สิทธิ์จากฟากฟ้า และสารพัดมอนสเตอร์ฝีมือฉกาจจากทั่วผืนแผ่นดิน...
การต่อสู้ครั้งสุดท้าย เพื่อปิดฉากเรื่องราวอันยาวนานกว่าสามชั่วอายุคน ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว !!
~ Dragon Quest V ~
~ Fin ~ 

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

~Dragon Quest Reminiscence ~ part IV

~ Part IV ~
 

เมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว ราชานรก นาม เอสตาร์ค ได้ค้นพบศาสตร์ต้องห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งเรียกขานกันว่า "เวทย์ลับแห่งวิวัฒนาการ" (The Secret of Evolution) และได้ใช้พลังเหนือจินตนาการนั้น ทำลายกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติจนสะบั้น พัฒนาร่างกายของตัวเอง จนแทบจะก้าวไปสู่ความเป็น "สุดยอดสิ่งมีชีวิต" ที่อยู่ปลายทางแห่งสายวิวัฒนาการ !
เอสตาร์คครอบครองพลังที่เกินสามัญสำนึก แต่ก่อนที่มันจะก้าวไปสู่ร่างขั้นสุดท้าย...ชนเผ่าศักดิ์สิทธิ์จากฟากฟ้า "ชาวนภา" (Zenithia) ก็ได้ผนึกเอสตาร์คไว้ยังโลกใต้พิภพได้สำเร็จ
และเวลากว่า 300 ปีก็ล่วงเลยไป...
----------
Chapter 1
ในดินแดนแห่งเบอร์แลนด์ ประชาชนกำลังเดือดร้อนกันอย่างมาก กับเหตุการณ์สะพรึงขวัญ ที่เหล่าเด็กน้อยในหมู่บ้านได้'หายสาบสูญ'ไปอย่างลึกลับ...แรกนาร์ ทหารหาญในสังกัดแห่งพระราชาเบอร์แลนด์ ได้ติดตามสืบคดีลึกลับนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง...หลังจากหาทางเข้าไปยังหอคอยลับกลางน้ำเป็นผลสำเร็จแล้ว แรกนาร์ก็ได้พบกับมอนสเตอร์ ตัวการที่ลักพาตัวเหล่าเด็กน้อยมาในที่สุด
แรกนาร์จัดการปีศาจร้ายได้ในพริบตา แต่ก็ได้รับรู้เรื่องราวที่รบกวนจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก...เหล่าปีศาจที่ก่อความวุ่นวายมากขึ้นอย่างผิดปกติในระยะนี้ เหตุเพราะ ต่างกำลังดำเนินแผนการใหญ่ที่จะ "ปลุกชีพ"ราชานรกขึ้นมาอีกครั้ง !! ซึ่งหากเอสตาร์ค สุดยอดสิ่งมีชีวิตได้กลับมายังโลกอีก ช่วงเวลาแห่งหายนะก็จะกลับคืนมา และครั้งนี้ จะไม่มีใครสามารถกำจัดสุดยอดสิ่งมีชีวิตตนนี้ได้เลย นอกจาก "ผู้กล้า" ในตำนาน เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น!
----------
แผนการกวาดต้อนเหล่าเด็กน้อยอายุไล่เลี่ย ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเติบโตเป็นผู้กล้าในอนาคตนั้น คงไม่ใช่เป็นเหตุร้ายอันเดียวที่เกิดขึ้น...ชะตากรรมของโลก และของผู้กล้าวัยเยาว์ จะต้องอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่
คิดได้ดังนั้น แรกนาร์รีบกราบทูลพระราชาอย่างไม่รอช้า ขอออกเดินทางไปยังโลกกว้าง เพื่อค้นหา"ผู้กล้า" ในตำนาน...ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของมวลมนุษย์โดยทันที

Chapter 2
ในปราสาทแห่งแซนทีม มีเจ้าหญิงจอมแก่น นามอารีน่า ผู้หลงไหลในวิทยายุทธการต่อสู้ และแสนจะรังเกียจขนบธรรมเนียมของพระราชาผู้เป็นพ่อ ที่ต้องการให้ตนเป็นเจ้าหญิงที่แสนงามอ่อนหวาน...เมื่อถึงจุดหนึ่ง เจ้าหญิงจอมพลัง ก็ได้หลบหนีออกจากปราสาท เพื่อไปทดสอบความสามาถของตนเอง ในวิถีทางแห่งการต่อสู้ในที่สุด
เจ้าหญิงอารีน่า และคนสนิทสองคน ราชครูบอร์ยา และบาทหลวงคิริว ได้ออกเดินทางไปในโลกกว้าง และไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆมากมาย จนได้มีชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่ว
ทว่า เมื่อถึงคราวที่กลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง เธอก็ได้พบกับความเป็นจริงอันน่าตะลึง ที่ว่าด้วย"นิมิต"ซึ่งพระราชาได้มองเห็นซ้ำไปซ้ำมา ถึงปีศาจร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน ได้ยาตราทัพจากโลกปีศาจ มาทำลายล้างมวลมนุษย์ !!
...ด้วยความไม่สบายใจเหลือจะกล่าว พระบิดาได้อนุญาตให้เจ้าหญิงอารีน่าออกเดินทางเพื่อสืบค้นความเป็นจริงได้อย่างเสรี...และได้มีโอกาสที่จะเข้าร่วมการประลองยุทธครั้งใหญ่ เพื่อหาสุดยอดนักสู้จากทั่วดินแดน
อารีน่าชนะประลอง ผ่านเข้ารอบไปเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงรอบสุดท้าย ที่ผู้คนต่างเฝ้ารอดูยอดฝีมือ "ปิซาโร่" (Psaro The Manslayer) ให้ออกมาแสดงเพลงดาบอันไม่เป็นรองใคร และความโหดเหี้ยมที่เกินจินตนาการ
ทว่า เมื่อถึงการประลองรอบชิงชนะเลิศ กลับไร้ร่องรอยของปิซาโร่ผู้เกรียงไกร...จนถึงที่สุด อารีน่าจึงได้คว้าตำแหน่งผู้ชนะ โดยที่ไม่ทันได้มีโอกาสเผชิญหน้ากัน
----------
เมื่อการประลองจบลงไปอย่างค้างคา ร่องรอยของเหล่ามอนสเตอร์ในละแวกใกล้เคียงก็กลับเบาบางลงอย่างผิดสังเกต...อารีน่าแบกความรู้สึกไม่สบายใจ กลับบ้านเกิด และได้พบกับเรื่องน่าประหลาดใจอย่างที่สุด...ทุกคนหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงปราสาทที่ว่างเปล่าเท่านั้น!!
ทุกคนไปอยู่ที่ไหน? ทำไมเหล่าปีศาจถึงได้พลันหายหน้าไป? มีความเกี่ยวข้องกับชายยอดฝีมือผู้สาบสูญ นามปิซาโร่หรือไม่?...เจ้าหญิงอารีน่าเก็บสารพัดคำถามไว้ลึกๆ และออกเดินทางเพื่อค้นหาความจริงอย่างไม่รอช้า

Chapter 3
ณ ร้านอาวุธแห่งเมืองลาคานาบาร์ มีพ่อค้าอวบอ้วน ผู้มีความฝันใหญ่ยิ่งกว่าตัว นาม ทอร์เนโค ที่ตั้งเป้าจะเป็น "พ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" ให้ได้ซักวัน
แต่ความฝันนั้น ดูจะแสนห่างไกล สำหรับตัวทอร์เนโค ที่เป็นเพียงลูกจ้างในร้านอาวุธเล็กๆ ในเมืองที่แสนเงียบเหงาเช่นนี้
เมื่อความเบื่อหน่ายถึงขีดสุด...ความทะเยอทะยาน ก็ผลักดันให้ทอร์เนโคได้ออกเดินทาง เพื่อทำความฝันให้เป็นจริง...แม้ร่างกายจะไม่เอื้อต่อการต่อสู้ แต่เขาทั้งบุกฝ่าถ้ำลึกเพื่อครอบครองไอเทมหายาก ต่อสู้เก็บข้าวเก็บของจากเหล่ามอนสเตอร์ แวะเวียนไปยังเมืองลึกลับ ร่วมมือปฏิบัติภารกิจจากพระราชา จนกระทั่งสามาถผลักดันให้การสร้างสะพาน ที่ทอดไปยังทวีปใหม่ได้สำเร็จดังหมาย
...โดยไม่รอช้า ทอร์เนโครีบร้อนมุ่งไปยังเมืองเป้าหมายของตน ที่ได้ตัดสินใจเลือกเป็นทำเลทองสำหรับร้านในฝัน...และได้ไปเกี่ยวข้องกับสารพัดธุรกิจทางราชวงศ์ ช่วยสะสางความขัดแย้งระหว่างสองอาณาจักรใหญ่ ให้ร่วมมือกันเตรียมรับมือราชานรก และก็ได้รับใบอนุญาตให้เปิดร้านขายของ พร้อมทำสัญญาค้าขายกับกองทัพในที่สุด !!
----------
ความฝันแต่หนหลังของทอร์เนโคและภรรยาสำเร็จอย่างสวยงาม กิจการของทอร์เนโคเติบโตมากขึ้น และทำรายได้อย่างมหาศาล...หากแต่ จุดหมายสูงสุดในการเป็น'พ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด' ยังอยู่อีกไกลนัก...
ข่าวการใกล้คืนชีพของราชานรกกำลังกระจายไปทั่วทุกมุมถนน พร้อมกับเรื่องเล่าของผู้กล้าที่จะมาปราบกลียุค และอาวุธสูงสุดจากฟากฟ้า นาม ดาบแห่งนภา(Zenithian sword) ที่ว่ากันว่า ทำได้แม้กระทั่งเปิดเส้นทางสู่สรวงสวรรค์
หากสามารถค้นหาสุดยอดแห่งศาสตราในตำนานนั้นได้ ไม่แน่ว่า ทอร์เนโคเอง ก็จะเข้าใกล้กับความเป็นสุดยอดแห่งพ่อค้ามากกว่าใครหน้าไหน...โดยไม่พูดให้มากความ ชายหนุ่มร่างอวบ จึงหอบความฝันยิ่งใหญ่ไว้เต็มอก บอกลาภรรยาสุดที่รัก และออกเดินทางไปยังทวีปใหม่โดยทันที

Chapter 4
ณ เมืองแห่งการร่ายรำและขับร้อง มอนฮาบาร่า มีพี่น้องสองสาวผู้งดงามนามว่า มายา นักเต้นรำ และมีนา นักพยากรณ์...แต่เบื้องหลังรอยยิ้มที่ดึงดูดคนทั่วไปนั้น กลับอัดแน่นไปด้วยความแค้นที่เต็มอกของทั้งสอง ที่มีต่อชายหนุ่ม บัลแซกต์ อดีตลูกศิษย์ของบิดาเจ้าหล่อน ผู้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุมากฝีมือ...
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อครั้งที่ผู้เป็นพ่อล้มเหลวในการทดลองเปลี่ยนวัตถุให้กลายเป็นทองคำนั้น...กลับได้ไปค้นพบขั้นตอนของศาสตร์ต้องห้ามแต่หนหลัง ที่ถูกเรียกขานว่า "เวทย์ลับแห่งวิวัฒนาการ" เข้าโดยบังเอิญ!!
บัลแซกต์สังหารอาจารย์ของตนอย่างเลือดเย็น และขโมยศาสตร์ต้องห้ามหายสาบสูญไป เหลือเพียงซากศพ และความอาฆาตที่ทิ้งไว้ในใจลูกสาวของผู้ตาย...สองพี่น้องใช้เวลาแสนนาน ค้นหาข่าวคราวของฆาตกร...แต่เมื่อถึงที่สุดแล้ว ความเร่งร้อนก็ผลักดันให้ทั้งสองออกจากคณะการแสดง ก้าวสู่โลกกว้างตามลำพัง เพื่อให้ภารกิจชำระแค้น สำเร็จโดยเร็วที่สุด
----------
หลังจากได้พบปะ และสมทบกับศิษย์เอกของบิดาตนแล้ว ทั้งสามก็ตามรอยไปจนได้เบาะแสสำคัญของบัลแซกต์ ที่ได้ทำพันธะสัญญากับโลกปีศาจ และรับพลังเวทย์อันยิ่งใหญ่มาครอบครอง พร้อมขึ้นเป็นผู้ปกครองเมืองด้วยความหวาดกลัว
หลังจากวางอุบายอย่างแยบคาย ทั้งสาม ก็สามารถลอบเข้าไปยังห้องลับที่แสนแน่นหนาในปราสาท และเผชิญหน้ากับบัลแซกต์ ศัตรูชั่วชีวิตได้ในที่สุด !
แม้บัลแซกต์จะได้ใช้เวทย์ลับแห่งวิวัฒนาการขั้นต้น จนกลายร่างเป็นอสูรน่าสะพรึงกลัว...แต่เมื่อถูกไอเทมในตำนาน ที่สองพี่น้องนำมาผนึกเวทย์มนตร์ทั้งปวงแล้ว ปีศาจร้ายก็หมดท่า และกำลังจะพ่ายแพ้ต่อเพลิงแค้นในเวลาไม่นาน
...แต่ก่อนที่จะได้ทันจบชีวิตฆาตกรลงนั้น ผู้ปกครองที่แท้จริง คิงเลโอ ก็ปรากฎกายขึ้น และจัดการผู้บุกรุกทั้งสามลงอย่างราบคาบ !...ชายหนุ่มศิษย์เอกแห่งนักแปรธาตุ ตัดสินใจสละชีวิตของตน ฝากความหวังไว้กับสายเลือดของอาจารย์ตน...และเข้าปกป้อง เปิดเส้นทางให้สองสาวหนีไปจากเงื้อมมือปีศาจได้เป็นผลสำเร็จ
มายาและมีนา หนีตายทั้งน้ำตา ขึ้นเรือข้ามทวีปไปอย่างบอบช้ำและคับแค้น ทิ้งบ้านเกิดและฆาตกรผู้สังหารบิดาไว้เบื้องหลัง...ก่อนที่จะตระหนักได้ว่า แสงแห่งความหวังของพวกตน ช่างริบหรี่เหลือเกิน...หากจะเอาชนะรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายได้นั้น...พวกเธอจำเป็นจะต้องเสาะหาประกายอีกมาก ที่จะรวมกันเป็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่เหนือเงามืดใดๆ...

*: Spin-off
จากการสร้างตัวละครหลักจำนวนมากถึง 8 คน(บวกอีกหนึ่ง สำหรับผู้กล้าที่สามารถเลือกเพศได้) ทำให้เหล่านักรบจากภาค4นี้ ถูกหยิบยกไปใช้ในภายหลังอีกมากมาย...บางคนกลายเป็นหนังสือการ์ตูน อย่าง ดรากอน เควสต์ ภาคผู้กล้าอารีน่า (ลิขสิทธิ์ไทย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ ทั้งชุด 5 เล่มจบ) ที่เป็นการ์ตูนผจญภัย ลายเส้นออกแนวการ์ตูนผู้หญิง ว่าด้วยการเดินทางของเจ้าหญิงจอมพลัง ที่แตกยอดไปจากเนื้อหาหลักในเกมส์ / พ่อค้าทอร์เนโค ทาลูน ที่โด่งดังมากพอจะสร้างซีรีย์เกมส์ของตัวเองได้ และอีกสารพัดตัวละคร ที่กลายเป็นแขกรับเชิญต่างกรรม ต่างวาระในภาคต่างๆ

Chapter 5
1. ในหมู่บ้านเล็กๆอันแสนสงบสุข ที่ซ่อนเร้นอยู่กลางขุนเขา...ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ฟูมฟักเด็กน้อยผู้มีชะตากรรมอันยิ่งใหญ่ ที่แบกรับชื่อของ "ผู้กล้า" ที่จะนำสันติสุขกลับคืนมา ในยามที่โลกตกอยู่ในกลียุค
วันหนึ่ง ก่อนที่ผู้ใดจะทันรู้สึกตัว กองทัพมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ ก็ได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ และบุกเข้ามาทำลายล้างทุกอย่างจนหมดสิ้น...ผู้คนในหมู่บ้าน ล้มตายไปทีละคน ภายในเวลาไม่นาน
เอลิซ่า เพื่อนสาวคนสนิท เชื่อมั่นในชะตากรรมอันยิ่งใหญ่ ที่ตัวผู้กล้าแบกรับไว้ แม้เจ้าตัวเองจะยังไม่ทราบ...และตัดสินใจ ขังผู้กล้าไว้ในห้องเก็บของใต้ดิน ก่อนที่จะใช้คาถาแปลงกาย ออกไปเผชิญหน้ากองทัพปีศาจด้วยตัวคนเดียว ในรูปลักษณ์ของ"ผู้กล้า" เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของพวกมัน !
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ความอึกทึกภายนอกก็พลันเงียบหายไป...ผู้กล้าที่ถูกขังอยู่ พยายามเงี่ยหูฟังอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะได้ยินเสียงโห่ร้องของเหล่าปีศาจ และคำพูดสั้นๆเป็นประโยคสุดท้ายว่า..
..."กำจัดผู้กล้าสำเร็จแล้ว ท่านปิซาโร่"...
ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง และร่างไร้ชีวิตของเพื่อนร่วมหมู่บ้าน...ผู้กล้าแบกร่างที่อ่อนล้าและโศกเศร้า ระหกระเหินจากหมู่บ้านเป็นครั้งแรก เพื่อไล่ตามเบาะแสเพียงหนึ่งเดียวที่ตนมี...นักเดินทางที่หลบเร้นเข้ามาถึงหมู่บ้านลับ...ผู้นำของกองทัพปีศาจ...ปิซาโร่
ชายหนุ่มออกท่องโลกกว้างเพียงลำพัง โดยไม่ทันได้รู้สึกตัวว่า โชคชะตา กำลังชักนำเหล่านักรบที่ถูกเลือกให้มารวมตัวกัน โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง !

2. ผู้กล้าได้พบเจอกับสาวน้อยนักพยากรณ์ มีนา โดยบังเอิญ ซึ่งสามารถมองเห็นถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขา และกล่าวออกมาอย่างยินดีว่า ตัวเธอได้พบแสงสว่างที่จะปัดเป่าเงามืดแล้ว...
เจ้าหล่อนพาชายหนุ่มไปพบกับพี่สาว นักเต้นรำชื่อดังนาม มายา ที่กำลังสนุกสนานกับการเก็บสะสมเงินในคาสิโน ก่อนจะออกท่องโลก
หลังจากได้ช่วยจัดการปีศาจที่เข้ายึดครองหอประภาคารได้สำเร็จ...พ่อค้าผู้ร่ำรวย ทอร์เนโค ที่กำลังตามหาอาวุธในตำนาน พร้อมกับหนีตายจากเหล่าปีศาจที่ตามราวี จึงยินดีอย่างยิ่ง ที่จะให้ผู้กล้าได้ออกเรือไปด้วยกัน
เมื่อได้ร่วมค้นหาสมุนไพรหายากกับเจ้าหญิงอารีน่า เพื่อมารักษาบาทหลวงคนสนิทที่ป่วยหนักแล้ว...ก็ได้รู้ว่า ต่างฝ่ายต่างกำลังไล่ตามหาชายหนุ่มลึกลับ นามปิซาโร่เช่นเดียวกัน...กลุ่มของอาลีน่าจึงขันอาสา ขอเข้าร่วมกับผู้กล้าทันที
ที่สุดของที่สุด...นักรบคนสุดท้าย แรกนาร์ ที่ออกตามหาผู้กล้าหนุ่มไปทั่วดินแดนตั้งแต่แรกเริ่ม ก็ถูกชักนำภายใต้โชคชะตา ให้มาพบกับคณะผู้กล้า...และทำให้ "เหล่านักรบที่ถูกเลือก" ทั้ง 8 คนตามคำทำนาย มารวมตัวกันครบสมบูรณ์แล้ว !!

*: System
ดรากอน เควสต์ 4 (Chapters of the Chosen) ใช้รูปแบบการเดินเรื่องแบบแบ่งบทย่อย บรรยายชีวิตของเหล่าตัวละครหลักที่มาจากคนละมุมของโลก แต่มีเหตุการณ์สำคัญให้ต้องออกเดินทาง ก่อนจะมาผูกทุกเรื่องราวรวมกันที่ตัวผู้กล้า...ซึ่งนับเป็นจุดเด่นที่สุดของภาคนี้ ที่จะค่อยๆปูพื้นระบบของเกมส์ให้ละเอียดมากขึ้นตามลำดับ ทั้งระบบการต่อสู้ การมีเพื่อนร่วมทาง ใช้เวทย์มนตร์  ทำเควส จัดปาร์ตี้ในรถม้า จนเมื่อไปถึงบทหลักของผู้กล้านั่นทีเดียว ที่ถือได้ว่า เนื้อหาที่แท้จริงของ DQ4 เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น !!
ระบบเก่าแก่อย่างสารพัดกุญแจไขประตู และระบบกลางวัน-กลางคืน ก็ยังคงอยู่...พร้อมกับเปิดตัวระบบใหม่อย่าง การเซฟเกมส์ได้ตามโบสถ์ การสะสมเหรียญเล็กไว้แลกของรางวัล มินิเกมส์อบายมุข ที่กลายมาเป็นคาสิโนให้เล่นพนันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว รวมไปถึงระบบการรับสมาชิกชั่วคราวเข้ามาในปาร์ตี้ (โดยที่ไม่สามารถควบคุมคำสั่งได้)นั้น ก็ถูกยกมาใช้ตลอดทั้งภาค
 
3. กลุ่มผู้กล้า ร่วมแรงต่อสู้ จนเอาชนะบัลแซคและคิงเลโอจนสำเร็จ และได้ใช้ไม้เท้าแปลงร่าง ลักลอบเข้าไปถึงปราสาทแห่งมอนสเตอร์ จนได้พบเจอกับปิซาโร่ ผู้นำแห่งเหล่าปิศาจเป็นครั้งแรก
การประชุมตึงเครียดของเหล่าอสูรจากใต้พิภพ ถูกขัดจังหวะด้วยข่าวใหญ่โต ว่าด้วยเอสตาร์ค นายเหนือหัว กำลังจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว...ด้วยฝีมือของเหล่ามนุษย์ คนงานขุดเหมืองที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ !
คณะผู้กล้า เร่งรุดไปยังที่ผนึกของเอสตาร์คอย่างรวดเร็ว...ด้วยความที่ถูกจองจำมานานปี และร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เช่นแต่ก่อน...เอสตาร์คที่เพิ่งลืมตาตื่น ก็ถูกสังหารลงไป ใต้คมดาบของผู้กล้านั่นเอง !!
ปิซาโร่ที่ตามทีหลัง ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก และรู้โดยทันทีว่า ฝ่ายตรงข้าม จะต้องเป็นผู้กล้าตามตำนาน ที่ถูกส่งมาเป็นปรปักษ์กับพวกตนเป็นแน่แท้...แต่ก่อนที่จะได้เข้าเล่นงานผู้กล้าที่กำลังบอบช้ำ ปิซาโร่ก็ได้รับแจ้งข่าวร้าย ที่สำคัญมากพอให้เขาวางมือจากเรื่องราวทั้งหมดโดยไปทันที
4. คนรักของปิซาโร่ นามโรซารี่ เป็นเอลฟ์สาวที่มีความสามารถพิเศษ ทำให้น้ำตาที่หลั่งออกมาของเธอเปลี่ยนเป็นอัญมณีล้ำค่าได้ ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมาย มุ่งมั่นข่มเหงทำร้ายให้เธอเสียน้ำตาอยู่เสมอ
แม้จะพยายามปกป้องคนรักมากแค่ไหน แต่สาวน้อยก็ไม่เคยอยู่อย่างเป็นสุข...โรซารี่ได้ถูกมนุษย์ชั่วลักพาตัวไป...กว่าปิซาโร่จะตามไปพบนั้น ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว โรซารี่ถูกทุบตีจนบอบช้ำ และกำลังจะจบชีวิตลง
โรซารี่ขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย ให้ชายหนุ่มอภัยมนุษย์ผู้โง่เขลา ก่อนที่จะสิ้นใจลง...แต่ปิซาโร่ไม่ได้ยินสิ่งใดแล้ว ความโกรธเกรี้ยวผลักดันให้เขาใช้เวทย์ลับแห่งวิวัฒนาการที่เฝ้าศึกษามานาน เปลี่ยนร่างตัวเองเป็นสุดยอดสิ่งมีชีวิตทันที !!

*: Characterization
จะมองว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียก็ตาม...แต่เอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่ซีรีย์ดราก้อน เควสต์ยึดถือมาตลอดจนถึงปัจจุบันก็คือ รูปแบบการนำเสนอในลักษณะ"เติมคำในช่องว่าง" ที่จะเหลือพื้นที่ของเนื้อหา ให้ถูกเติมเต็มด้วยจินตนาการของตัวผู้เล่นเองเสมอ
ดังนั้นแล้ว แม้จะเป็นภาคใหม่ หรือภาครีเมคในยุคที่กราฟฟิคสมจริงกำลังเฟื่องฟูเช่นนี้...ฉากเหตุการณ์สำคัญ ปูมหลัง ความลับสูงสุด หรือกระทั่งเนื้อหาหลักของเกมส์ ก็ยังจะถูกนำเสนอในรูปแบบของ "เรื่องเล่า" และ "บทสนทนา" เป็นตัวอักษรแบบละเอียดยิบอยู่  ในสัดส่วนที่มากกว่าการใช้กราฟฟิคหวือหวา...ซึ่งหลายครั้ง ที่มันสามารถดึงจินตนาการและอารมณ์ร่วมของคนเล่น ได้ดีกว่าการฉายฉากอีเวนท์เสียอีก! (นี่เป็นเหตุผลสำคัญว่า เหตุใดจึงควรที่จะใส่ใจกับส่วน "Text" ของดราก้อนเควสต์ มากเป็นอันดับหนึ่ง และไม่สมควรที่จะเล่น โดยปล่อยปละในส่วน"เนื้อหา"ของมัน)
ทั้งนี้ รูปแบบการเติมคำในช่องว่างดังกล่าว ก็ยังถูกใช้ในการสร้างบุคลิกของ"ตัวละครหลัก" ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคล่าสุด ให้เป็นผู้เดินเรื่องราวที่ "ไม่มีบทสนทนาใดๆ" ถูกถ่ายทอดออกมาเลย นอกจากการตอบ Yes และ No
ตรรกะที่สร้างตัวเอกที่เป็นใบ้ ไม่มีท่อนบรรยายบุคลิกภาพ หรือบทสนทนาที่จะสะท้อนความเป็นเจตบุคคลใดๆออกมาเลยนั้น...เพื่อจุดประสงค์หลักในการให้ผู้เล่นสามารถ"สวมบทบาท" ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในการเดินเรื่องได้อย่างสมจริงที่สุดนั่นเอง
----------
แน่นอนว่า รูปแบบการนำเสนอที่ให้ความสำคัญกับบทบรรยาย และช่องว่างไว้ถมที่ของตัวละครเช่นนี้ หากมองอีกมุม ก็จะกลายเป็นข้อจำกัดที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของซีรีย์ ว่าด้วยการที่"ตัวละครไร้สเน่ห์ และขาดเอกลักษณ์" ตามมา...ดังเช่นในดราก้อน เควสต์ 4 นี้ ที่แม้จะมีตัวละครหลักหลากรูปแบบ หลายที่มา มากถึง 8 คน...แต่กลับไม่มีใครที่จะถ่ายทอดเอกลักษณ์ของตัวเองให้โดดเด่นเป็นที่จดจำได้เลย...ภายในเวลาไม่นาน ผู้เล่นก็จะผ่านตากับตัวละคร และก็ผ่านไป แทบไม่เหลือติดไว้ในความทรงจำ
...ดังนั้นแล้ว ตัวละครฝ่ายคู่อริ ที่มีฉากเหตุการณ์ และบทสนทนามากมาย มาคอยสะท้อนถึงบุคลิก มุมมอง หรือกระทั่งปมโศกเศร้าในใจ อย่าง ปิซาโร่ จึงกลายมาเป็นคนที่โดดเด่นมากที่สุดในเรื่องเสียแทน
หน้าที่ชูโรง และดึงคะแนนด้านสเน่ห์ตัวละครจากสายตาของผู้เล่น จึงตกเป็นของปีศาจหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้...อาจบอกว่า เด่นเสียยิ่งกว่าคณะเดินทางของผู้กล้าทั้งหมดเสียอีก!

5. ผู้กล้าได้ออกเดินทางท่องโลก และค้นหาเซตอุปกรณ์แห่งนภา (Zenithian equipments) ทั้งหมดได้จนครบ ทั้งชุดเกราะ หมวก โล่ห์ และดาบแห่งนภา...และใช้มันเปิดทางไปสู่ปราสาทแห่งนภา เพื่อเข้าพบผู้ปกครองสูงสุด มาสเตอร์ดราก้อน (Zenith Dragon) ที่เคยผนึกสุดยอดสิ่งมีชีวิตเอสตาร์คเมื่อครั้งอดีต
แต่น่าเสียดายที่ปิซาโร่นั้น ครอบครองพลังที่สมบูรณ์กว่าเอสตาร์คมากนัก มาสเตอร์ดราก้อนต้องยอมรับว่า ผู้เดียวที่จะสามารถต่อกรกับอสูรร้ายได้...ก็คือนักรบตามคำทำนาย ที่สืบเชื้อสายครึ่งหนึ่งมาจากสาวชาวนภา และอีกครึ่ง มาจากหนุ่มคนตัดไม้ชาวโลก...ผู้กล้าของเรานั่นเอง !!
สายเลือดศักดิ์สิทธิ์ของชาวนภา กับปาฎิหาริย์แห่งความมุ่งมั่นของชาวโลก รวมกันอยู่ในตัวชายหนุ่ม...มังกรเทพได้ปลุกพลังแฝงของผู้กล้าและเซตอุปกรณ์นภา ก่อนจะส่งคณะเดินทางลงไปยังดินแดนใต้พิภพ Nadiria ทันที
6. ทั้งหมดได้บุกไปยังวิหารทั้งสี่ทิศ เพื่อจะกำจัดสี่ขุนพล ลูกน้องคนสนิทของปิซาโร่ จนสามารถปลดบาเรียที่ขึงป้องกันที่พำนักของปิซาโร่เอาไว้
ทว่า เมื่อถึงคราวที่ขุนพลคนสุดท้าย นักบวชปีศาจอามอน (Aamon) กำลังจะพ่ายแพ้ลงไปนั้น...พวกผู้กล้าก็ได้พบกับความจริงว่า นักบวชปีศาจจอมเจ้าเล่ห์นี่เอง ที่อยู่เบื้องหลังแผนการสังหารคนรักของปิซาโร่...เพียงเพื่อผลักดันให้ชายหนุ่มคลุ้มคลั่ง และตัวเองจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพปีศาจเสียแทน!!
น่าเสียดาย ที่ทุกสิ่งทุกอย่างสายเกินแก้เสียแล้ว ปิซาโร่กำลังพัฒนาร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง และไม่อยู่ในสภาพที่จะรับฟังสิ่งใดได้อีกต่อไป...เหล่านักรบที่ถูกชักนำ และผู้กล้าแห่งนภา จำต้องปะทะกับปิซาโร่ในร่างสุดยอดสิ่งมีชีวิต...ก่อนจะคว้าชัยชนะมาได้ในท้ายที่สุด !

7. มาสเตอร์ดรากอน บินมาช่วยพาผู้กล้ากลับไปยังปราสาทนภา และกล่าวสรรเสริญในวีรกรรมของนักรบทั้ง 8 ที่สามารถนำสันติสุขกลับคืนสู่โลกได้สำเร็จ
ผู้กล้าสายเลือดแห่งนภาปฎิเสธคำเชิญชวน ไม่อาศัยอยู่ต่อที่โลกเบื้องบน แต่ได้ตามมาส่งพลพรรค ให้กลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองทีละคน พร้อมกับพกพาความภาคภูมิใจกลับไปด้วย
ท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็ได้กลับมายังบ้านเกิดกลางขุนเขาอีกครั้ง...และราวกับปาฎิหาริย์ พลันเกิดเป็นแสงสว่างวาบขึ้นกลางหมู่บ้าน...เอลิซ่า เพื่อนสาวคนสนิทผู้ล่วงลับ ได้ฟื้นกลับคืนมามีชีวิตอีกครั้ง ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ที่เบ่งบาน !!
...และการเดินทางอันแสนยาวนาน ก็มาถึงบทสรุปด้วยรอยยิ้มในที่สุด...
~ Dragon Quest IV ~
~ Fin ~

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

~ Dragon Quest Reminiscence ~ Part III

~ Part III ~
1. สันติสุขที่มีมายาวนานของดินแดนอันแสนสงบ ต้องพลันพินาศลงด้วยข่าวการรุกคืบของ "จอมปีศาจบารามอส" ผู้มีรูปกายเป็นนกน่าเกลียดน่ากลัว...เหล่ามนุษย์ผู้อ่อนแอ ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากฝากความหวังไว้กับนักรบที่แกร่งกล้าที่สุดในผืนพิภพ นามว่า "ออเตก้า" ให้ปราบจอมปีศาจให้จงได้ !
ยอดนักรบออเตก้าได้ออกเดินทาง ต่อสู้กับเหล่าศัตรูร้ายกว่าครึ่งค่อนโลก ทิ้งภรรยา และลูกน้อยไว้ที่อาเลียฮานบ้านเกิด...ข่าวคราวการต่อสู้อย่างห้าวหาญของเขา ได้กระจายไปทั่วแผ่นดินไม่ขาดสาย...จวบจนถึงการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ ที่ปากปล่องภูเขาไฟเนโครกอนโด...ที่แห่งนั้น เป็นที่สุดท้าย ที่ผู้คนได้พบเห็นตัวยอดนักรบ
2. ห้วงเวลาแห่งความมืดมิดผ่านพ้นไปนานปี ไม่มีผู้ใดได้ข่าวคราว และพบเห็นตัวออเตก้าอีกเลย จนพระราชาแห่งอาเลียฮานได้ยอมรับอย่างเงียบๆว่า นักรบผู้ห้าวหาญ ได้จบชีวิตลงแล้ว และนั่นเป็นสัญญาณนับถอยหลัง ถึงความพินาศของมวลมนุษย์....
ทว่า "ความหวังสุดท้าย" ยังไม่สูญสิ้นไปเสียทีเดียว ยังคงมี "ทายาท" ของออเตก้า..."ผู้กล้า" ของเรา ที่พร้อมจะสืบทอดความฝัน และความหวังของผู้คนอยู่อีกนั่นเอง !!
...เมื่อถึงวันที่ผู้กล้ามีอายุครบ 16 ปี การเดินทางตามรอยเท้าของผู้เป็นพ่อ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น...โดยไม่รอช้า เขาจับดาบ และไปรวบรวมพลพรรค ผู้มีเป้าหมายเดียวกันจากร้านเหล้ารุยด้า และออกเดินทางสู่โลกกว้างโดยทันที !!
 
*: Tavern & Job
แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงสั้นๆ แต่ร้านเหล้ารุยด้า ก็กลายมาเป็นเทรดมาร์คสำคัญอีกอย่างของซีรีย์ ที่เป็นสถานที่รวมพลกันของเหล่าผู้กล้าจากทั่วสารทิศ ที่ต้องการจะจัดการจอมราชาปีศาจ ได้มารวมพล หาข้อมูล และจับกลุ่มกันและกัน...ในการ์ตูนอีกมากมายหลายเรื่อง ก็มักใช้สถานที่แห่งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง
ใน DQ3 นี้ เราสามารถฟอร์มทีมกับสมาชิกได้สูงสุดถึง 4 คน โดยเลือกเพศ และอาชีพของเพื่อนได้ตามใจชอบ ทั้งนักรบ นักสู้ นักบวช นักเวทย์ โจร ตัวตลก พ่อค้า...และเมื่อถึงเนื้อเรื่องดำเนินไปถึงจุดนึงแล้ว ก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นอาชีพอื่น โดยยังเก็บทักษะของอาชีพเดิมไว้ได้อีกด้วย !! ระบบ "อาชีพ" อันแสนฮิตของเกมส์ภาษาในยุคหลังๆนั้น ก็ได้รับการบุกเบิกมาจาก DQ ภาคนี้นี่เอง !
 
3. คณะผู้กล้า ได้ออกเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ซึ่งตลอดเส้นทางนั้น นอกจากจะได้ตามรอย รับฟังเรื่องราวการเดินทางของผู้เป็นพ่ออยู่ไม่ขาดสายแล้ว พวกเขายังต้องไปข้องเกี่ยวกับภารกิจต่างๆมากมาย จนได้รับกุญแจเวทย์มนตร์ และกุญแจขโมย มาช่วยในการเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่เคยได้เข้าใกล้
และแล้ว เมื่อนำ"พริกไทยดำ"อันล้ำค่าจากตะวันออกกลางมามอบให้กับพระราชา...ผู้กล้าก็ได้รับเรือใบลำใหญ่เป็นรางวัลตอบแทน...และพร้อมที่จะเดินทางสู่เป้าหมายโดยทันที !
...ทว่า ปราสาทแห่งบารามอสนั้น ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึก และมีภูผาสูงใหญ่ กับแม่น้ำกว้างเป็นปราการธรรมชาติ...ชนิดที่ไม่มีมนุษย์หรือพาหนะใดจะเดินทางไปถึงได้เลย...การเข้าถึงตัวจอมปีศาจ ดูจะไม่ตรงไปตรงมาเสียแล้ว...
 
4. ข่าวคราวจากผู้คนในเมืองต่างๆ นำพาเหล่าผู้กล้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนหิมะ ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาไข่ของ "นกอมตะ ลาเมีย" สัตว์วิเศษของเหล่าทวยเทพ...หากผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ สามารถเก็บรวบรวมลูกแก้ววิเศษทั้งหกมาได้ครบแล้ว ก็จะสามารถปลุกนกอมตะ และใช้มันเป็นพาหนะ บินไปได้กระทั่งสรวงสวรรค์ !!
แม้จะเป็นภารกิจที่ยากยิ่ง แต่เหล่าผู้กล้า ก็ตัดสินใจที่จะเดินทางค้นหาลูกแก้วทั้งหก ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก โดยมีเพียง ขลุ่ยเสียงสะท้อน เป็นอุปกรณ์หนึ่งเดียวที่ใช้ตามหาลูกแก้ว คอยฟังจากเสียงที่สะท้อนก้องตอบกลับมา...บุตรแห่งออเตก้า ได้เสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วน...ทั้งค้นหาจากคลังสมบัติโจรสลัด ได้รับจากนักโทษผู้ถูกคุมขัง ส่งมอบจากเมืองที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อตั้ง บุกทะลวงถ้ำลึกด้วยตัวคนเดียว ช่วยกำจัดงูยักษ์ในตำนาน ฯลฯ
------------------------------------- 
5. ...หลังจากการเดินทางที่แสนยาวนาน ผู้กล้าก็ได้ใช้กระจกแห่งรา เปิดโปงร่างจริงของราชาตัวปลอม นำไม้เท้าแปลงร่าง ที่ยึดได้ ไปแลกกับกระดูกลูกเรือ เพื่อนำทางไปหาล็อคเกตแห่งความรัก เอาไปใช้ปลดปล่อยวิญญาณคู่รักที่เร่ร่อนกลางมหาสมุทร ได้รับดาบไกอาเป็นการตอบแทน และใช้มัน จุดประทุภูเขาไฟเนโครกอนโด...เปิดทางไปสู่ลูกแก้วลูกสุดท้ายได้เป็นผลสำเร็จ!! และนำลูกแก้วทั้งหก ไปปลุกวิหคอมตะ ลาเมีย ให้ฟักตัวออกจากไข่ได้ในที่สุด !!
บุตรแห่งออเตก้าไม่รอช้า ขึ้นขี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพ และบินตรงไปยังปราสาทแห่งบารามอสกลางขุนเขาโดยทันที...ใช้เวลาไม่นานนัก การต่อสู้ก็จบลง....คณะผู้กล้า สามารถปราบจอมปีศาจได้สำเร็จ !! สันติสุขก็กลับคืนสู่ผืนดิน !!

*: Day & Night
หนึ่งในสุดยอดพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นมาในภาคนี้ คือระบบ "กลางวัน-กลางคืน" ที่ตัวเกมส์จะมีการสลับช่วงเวลาไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่เราเดินทางในทุ่งกว้าง ตั้งแต่เช้า จนถึงกลางคืน...และแน่นอนว่า ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ก็จะทำให้ในแต่ละสถานที่ มีเหตุการณ์พิเศษ และเงื่อนไขการได้รับไอเทมที่ไม่เหมือนกัน เพิ่มความลึกของเนื้อหา  มุขตลกยิบย่อย และภารกิจพิเศษมากมาย ให้ผู้เล่นได้ค้นหา ดังเช่น
- คู่รักต้องสาป ที่ถูกมนตร์สะกดของบารามอส ทำให้ไม่สามารถอยู่เคียงคู่กันได้...ฝ่ายชายจะต้องกลายเป็นม้าในช่วงเวลากลางวัน และฝ่ายหญิงจะกลายเป็นแมวในช่วงเวลากลางคืน...ไม่ว่าจะไปพบใคร ในช่วงเวลาไหน ก็จะได้รับรู้ความโดดเดี่ยวของแต่ละฝ่าย
- ทหารยามเฝ้าประตู ห้องสมบัติราชินี ที่ยืนยันเสียงแข็ง ไม่ให้เราเข้าไปหยิบสมบัติของราชวงศ์ได้โดยเด็ดขาด !...หากเราย่องมาในตอนกลางคืน จะพบว่า ทางโล่งสะดวก เพราะทหารยาม หนีไปนอนแล้วนั่นเอง...เลิกจ้างมันเถอะครับ ราชินี
- เมืองร้างเทดอน ที่พังทลายจากกองทัพของบารามอส หากเข้ามาในตอนกลางคืน จะพบเห็นวิญญาณของผู้คนในเมือง ที่ไม่รู้ว่าตัวเองได้จบชีวิตลงแล้ว ยังคงดำเนินชีวิตตามปกติ สามารถพูดคุย ขายของ หรือกระทั่ง ให้เรานอนพักแรมได้อีกต่างหาก!
ฯลฯ
 
6. งานเฉลิมฉลอง แสดงความยินดีกับเหล่าผู้กล้า ได้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่ปราสาทอาเลียฮาน...ทว่า รอยยิ้มที่เปื้อนหน้าของเหล่าผู้คน ก็พลันหายไปในบัดดล เมื่อเกิดสายฟ้าฟาดกึกก้องไปทั่ว และมีภาพมายาของอสูรขนาดมหึมาปรากฎขึ้นกลางห้องโถง...พร้อมกับป่าวประกาศว่า มันผู้นั้น คือ "จอมราชาปีศาจโซม่า" ผู้ปกครองโลกแห่งความมืดใต้พื้นพิภพ และเป็นนายใหญ่ที่แท้จริง ของจอมปีศาจบารามอสนั่นเอง !!
หลังจากทักทาย และกล่าวทิ้งท้ายว่า จะยังคงเดินหน้าทำลาย มอบความสิ้นหวังให้กับผู้คนแห่ง "โลกเบื้องบน" นี้ต่อไป...พระราชาและผู้คน ก็ถูกปกคลุมด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง...ผู้กล้าของเรารู้โดยทันทีว่า การเดินทางครั้งนี้ ยังคงมีต่ออีกยาวไกล...
นกอมตะลาเมีย ได้พาผู้กล้ามาส่งยังปราสาทแห่งราชินีมังกร ผู้สืบสายเลือดเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอคำปรึกษาในศึกครั้งใหญ่ที่จะมาถึง...ตัวราชินีแสนสวย ผู้กำลังจะจบชีวิตลงด้วยโรคร้าย ได้ส่งมอบไอเทมในตำนาน "ลูกแก้วแห่งแสง" เพื่อใช้ในการต่อสู้กับโซม่า ก่อนที่จะสิ้นชีวิตลง ทิ้งไว้เพียงลูกน้อยในไข่ใบเล็ก...ที่เธอคาดหว้งว่า จะเติบใหญ่มาสืบทอดตำแหน่ง "ราชามังกร" ที่ดีต่อไป

7. เหล่าผู้กล้าได้เดินทางผ่านหลุมไกอาขนาดใหญ่ ลงมายังโลกเบื้องล่างอันแสนมืดทึบ และได้พบเจอผู้คนจำนวนมาก...แต่ยิ่งสอบถามข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็รังแต่จะได้รับรู้เรื่องราวที่แสนสิ้นหวัง หดหู่ และดำมืดไม่ต่างจากบรรยากาศของโลกแห่งนั้นเลย
" พวกท่านมาจากโลกเบื้องบนสินะ ที่นี่คือ ดินแดนแห่งความมืด ที่ไร้ซึ่งแสงสาดส่อง นามว่า อเลฟการ์ด "
" สถานที่แห่งนี้ ปกคลุมด้วยความสิ้นหวัง...จอมราชาปีศาจโซม่า เก็บรักษาชีวิตมนุษย์ต่ำต้อยอย่างพวกเรา ไว้เพียงเพื่อเล่นสนุกเท่านั้น "
" ท่านจัดการบารามอสไปแล้วรึ? เจ้านั่นก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้ติดตามของโซม่าเท่านั้นล่ะ " 
" จอมปีศาจ...นิยมในการลิ้มรสความสิ้นหวัง รื่นรมย์กับความเกลียดชัง และดื่มด่ำกับน้ำตาแห่งความรวดร้าวของผู้อ่อนแออย่างเราๆไงล่ะ"
" พวกท่านมาจากอาเลียฮาน ที่แผ่นดินด้านบนงั้นรึ? ข้าเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนั้นมาจากใครซักคน..."
" ข้าคือพระราชาแห่งลาดาตอม หากท่านผู้กล้า คิดจะต่อกรกับจอมปีศาจร้าย ข้าก็พร้อมที่จะมอบความหวังให้ แม้ม้นจะน้อยนิดก็ตาม"
" ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีผู้กล้ามากมาย หาญกล้าหันคมดาบเข้าสู้กับโซม่า แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้กลับมาอีกเลย...ไม่เว้นแม้แต่ยอดนักรบ ออเตก้า ก็ตามที..."
---------------------------------
8. ท่ามกลางสารพัดข้อมูลที่สะเปะสะปะเหล่านั้น มีชื่อของ ยอดนักรบออเตก้าจากโลกเบื้องบน...พ่อของผู้กล้าอยู่ด้วย !! หรือความหวังลึกๆอันแสนริบหรี่จะยังคงมีอยู่จริง?...ผู้กล้าของเรา เก็บคำถามนั้นไว้ในใจ และออกเดินทางต่อโดยทันที
เมื่อได้นำโลหะในตำนาน โอริฮารูก้อน ไปตีเป็นดาบราชา และค้นหาชุดเกราะแสง ที่แข็งแกร่งไม่เป็นสองได้แล้ว คณะเดินทางก็พร้อมที่จะเข้าสู่ศึกสุดท้าย 
...แต่ปัญหาคือ ปราสาทแห่งจอมปีศาจโซม่า อยู่อีกฟากฝั่งของทะเล ไม่สามารถข้ามไปได้โดยง่าย...ผู้กล้าของเรา จึงต้องเริ่มออกรวบรวมไอเทมในตำนานของดินแดนอเลฟการ์ด อันได้แก่ "ไม้เท้าเมฆฝน" และ "หินแสงอาทิตย์" ตามคำกล่าวแต่หนหลังว่า...
"เมื่อสายฝนและแสงแดดสอดประสานกัน สายรุ้งจักบังเกิด เปิดเส้นทางพิชิตจอมมาร"

9. บุตรแห่งออเตก้า ได้เดินทางไปทั่วดินแดนแห่งอเลฟการ์ด จนได้ครอบครองขลุ่ยนางฟ้า ที่มีอำนาจวิเศษทั้งในการสะกด หรือคลายสะกดคำสาปทั้งปวงได้ และได้ใช้มัน ปลดปล่อยวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นทั้งผู้พิทักษ์ และผู้สร้างดินแดนแห่งอเลฟการ์ด นามว่า เทพเจ้ารูบิส !!
รูบิสต้องมนตร์สะกดของโซม่า ให้กลายเป็นรูปปั้นหินอยู่เนิ่นนาน เมื่อผู้กล้าได้คลายคำสาปให้ เธอจึงเห็นความหวังรำไร และส่งมอบ "เครื่องรางแห่งรูบิส" เพื่อคุ้มครองเหล่าผู้กล้าในการเดินทาง
ด้วยเครื่องรางรูบิส ผู้กล้าได้ไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์...ใช้พลังของไม้เท้าเมฆฝนและหินแสงอาทิตย์ ก่อกำเนิดเป็น "ลูกแก้วสายรุ้ง" สร้างสะพานทอดข้ามแม่น้ำใหญ่ พาผู้กล้าไปยังปราสาทจอมปีศาจโซม่า...เหล่าผู้กล้าบุกทะลวงปราสาทเขาวงกตไปจนแทบจะสุดปลายทาง
-------------------------------- 
ทว่าอีกไม่กี่อึดใจก่อนถึงตัวจอมปีศาจนั้น เบื้องหน้าของทุกคน ปรากฏร่างนักรบผู้หนึ่ง กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดด้วยตัวคนเดียว กับอสูรกายยักษ์ใหญ่ คิง ไฮดร้า....การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดและรุนแรง ชนิดที่คณะเดินทางได้แต่เพียงหยุดยืนนิ่งด้วยใจระทึก....ก่อนที่จะจบลง ด้วยความพ่ายแพ้ของนักรบผู้เก่งกล้า...นักรบที่มีใบหน้าคุ้นเคยแต่หนหลัง...ออเตก้า พ่อของเรานั่นเอง !!
เลือดไหลรินไม่หยุด สติของออเตก้าเริ่มเลือนราง มองไม่เห็น และไม่ได้ยินสิ่งใด...รับรู้เพียงเงาวูบวาบของคณะผู้กล้า เขาทำสิ่งใดไม่ได้ นอกจากฝากฝังคนแปลกหน้าเหล่านั้น...ว่าหากมีโอกาส ขอให้ช่วยส่งต่อคำสั่งเสียไปยังลูกชายเพียงคนเดียวของเขา ว่าเขารักลูกชายคนนั้นมากเพียงไร และขอโทษอย่างที่สุด ที่ไม่สามารถนำสันติสุขกลับคืนมาได้อย่างที่สัญญาไว้...
ออเตก้า สิ้นลมคาอ้อมกอดของลูกชายตนในที่สุด
 
10. ความโกรธแค้นผลักดันผู้กล้า ให้พุ่งไปยังห้องบูชาสุดท้าย และปราบสมุนสนิท คิง ไฮดร้า และบารามอสซอมบี้ได้ในชั่วอึดใจ ก่อนเข้าเผชิญหน้ากับจอมปีศาจโซม่าโดยไม่รีรอ
...ลูกแก้วแห่งแสงที่ได้จากราชินีมังกร ช่วยปลดเกราะแห่งความมืด ที่ปกป้องจอมราชาปีศาจจากเวทย์มนตร์ทุกชนิด เหล่าผู้กล้าแห่งโลกเบื้องบน ร่วมแรงกัน จนสามารถกำราบเจ้าแห่งความมืด ลงไปกองกับพื้น และพบกับจุดจบเป็นผลสำเร็จ !!
ทว่า ก่อนที่จะสลายไปเป็นธุลี ตัวโซม่าไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดส่งท้าย วลีคลาสสิคจากดรากอน เควสต์ ที่ภายหลังถูกนำไปดัดแปลงใช้อีกหลายต่อหลายเรื่อง ดังว่า
" ผู้กล้า! จงฟังคำข้า...ตราบใดที่ยังมีแสงสว่าง ความมืดก็จะยังคงอยู่...ข้ามองเห็น! ในความมืดที่มืดมิดยิ่งกว่า จะมีคนเช่นข้า ปรากฏตัวออกมาอีกอย่างแน่นอน...หากแต่ว่า กว่าจะถึงช่วงเวลานั้น ตัวเจ้าเอง ก็คงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า......."
 
ขาดคำ จอมมารก็สลายไป ผู้กล้าหนีจากปราสาทที่ถล่มทลายลงได้ทันเวลา และด้วยพลังของลูกแก้วแห่งแสง...แสงสว่าง ก็เริ่มสาดส่องไปทั่วดินแดนแห่งอเลฟการ์ดอีกครั้ง...
น้ำตา และเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของผู้คน กึกก้องไปทั่วโลกใต้พิภพ ผู้คนต่างสรรเสริญในวีรกรรมของผู้กล้า ตัวพระราชาแห่งลาดาตอม ก็ปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก และได้แต่งตั้งผู้กล้าของเรา ให้เป็นยอดนักรบที่แท้จริง และมอบนามที่คู่ควรกับเกียรติสูงสุดนั้นว่า "ผู้กล้า โรโตะ" !!!
ดาบราชา ชุดเกราะแสง และเครื่องรางแห่งรูบิส ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นดาบโรโตะ ชุดเกราะโรโตะ และสัญลักษณ์แห่งโรโตะ....ส่วนตำนานเล่าขานถึงวีรกรรมผู้กล้า ก็ได้ถูกส่งมอบสืบไปจากรุ่นสู่รุ่น ในฐานะ ผู้กล้าโรโตะ ผู้ปัดเป่าความมืดมิด และนำแสงสว่างมาสู่ดินแดนแห่งอเลฟการ์ด สืบไป !!
~ Dragon Quest III ~
~ Fin ~

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Dragon Quest Reminiscence part II

~ Part II ~

1. ภายหลังจากทายาทแห่งโรโตะ ได้กำจัดราชามังกร และออกเดินทางร่วมกับเจ้าหญิงลอร่าแล้ว เวลาแห่งความสงบสุข ก็ได้ผ่านพ้นไปถึง 100 ปี...สายเลือดของโรโตะ ก็ถูกส่งผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านทางสามอาณาจักรใหญ่ โลเรเซีย ซามัลโทเรีย และมูนบรู๊ค
ทว่า สันติสุขที่แสนยาวนาน กลับต้องพลันสะบั้นลงในชั่วข้ามคืน เมื่อนักบวชปีศาจฮาก้อน ได้ปรากฎกายขึ้น พร้อมกับยาตราทัพมอนสเตอร์จากโลกปีศาจ เข้าบุกโจมตีเมืองมูนบรู๊คจนล่มสลายไปในพริบตา พระราชาถูกสังหาร แม้แต่เจ้าหญิงแห่งมูนบรู๊ค หนึ่งในผู้สืบสายเลือดโรโตะ ก็ยังถูกสาปเป็นสุนัข หายสาบสูญไปในทุ่งกว้าง !!
ข่าวอันน่าพรั่นพรึงของกองทัพฮากอน ได้มาถึงเมืองโลเรเซีย...ผู้กล้าของเรา เจ้าชายแห่งโลเรเซีย ได้รับมอบหมายจากพระบิดา ให้เร่งรุด ออกเดินทางไปสมทบกับทายาทแห่งโรโตะอีกสองคน เพื่อผนึกกำลังกัน ปราบนักบวชปีศาจให้จงได้ !!

*: Party
ดรากอน เควสต์ สอง "Patheon of Evil Gods" นี้ เป็นพัฒนาอีกก้าวจากภาคแรก นอกเหนือจากกราฟฟิคที่มีความละเอียดระดับเดียวกับภาคหนึ่งเวอร์ชันอเมริกาแล้ว ระบบต่อสู้ ก็ถูกพัฒนาขึ้นเป็นระบบปาร์ตี้ ที่ฝ่ายเรามีสมาชิกถึงสามคน เลือกการโจมตีได้สามคำสั่งในเทิร์นเดียว และฝ่ายศัตรูเอง ก็มีการรวมกลุ่มกัน ให้เราเลือกโจมตี...จุดนี้เป็นเพราะ ทางอินิกซ์เห็นว่า การปูทางจากภาคก่อน ทำให้ผู้เล่นมีความคุ้นเคยกับตัวเกมส์ RPG ในระดับนึงแล้ว ก็พร้อมที่จะเพิ่มความสมจริงเข้าไปอีกขั้น
แต่ข้อจำกัดที่ตามมา ก็เนื่องด้วยจำนวนศัตรูที่เพิ่มขึ้นเต็มจอ จึงต้องตัดฉากวินโดว์ แสดงพื้นหลังของฉากต่อสู้ทิ้งไป และใช้การถมเป็นพื้นดำแทน...อีกทั้งการเลือกโจมตีในแต่ละครั้ง ทำได้เพียงเลือก "กลุ่มศัตรู" กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เช่น เราไม่สามารถจำเพาะได้ว่า ต้องการโจมตีสไลม์ตัวกลาง แต่ตัวละครจะทำการแรนด้อมเลือกโจมตีให้เราเองเป็นต้น (และมักทำให้เราขัดใจเสมอ) ซึ่งจุดด้อยนี้ กลับถูกนำไปใช้ต่อเนื่องไปอีกหลายปี โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของแฟนๆอย่างน่าประหลาด
และต้องไม่ลืมว่า ในเวอร์ชันดั้งเดิม ตัวเกมส์จะไม่มีระบบ "เปลี่ยนเป้าหมายการโจมตี" แบบอัตโนมัติให้กับเรา ...นั่นหมายความว่า ใส่คำสั่งไปครบแล้ว...หากเพื่อนของเราปราบศัตรูตัวหนึ่งๆไปก่อนถึงเทิร์นเรา...ตัวเราก็จะยังคงตั้งหน้าตั้งตา โจมตีตำแหน่งเดิม ส่งผลให้ฟันวืด เสียเทิร์นไปเปล่าๆปลี้ๆ...ความบื้อของฮีโร่นี้ คาดว่าระบาดถึงกันได้ เพราะแม้กระทั่งในสมัยไฟนอล แฟนตาซีภาคแรกออกจำหน่าย ก็ยังพบเห็นปัญหาแบบเดียวกัน

2. ใช้เวลาไม่นานนัก ผู้กล้าแห่งลอราเซียของเรา ก็ตามตัวพระญาติ เจ้าชายแห่งซามัลโทเรียพบ และร่วมเดินทางไปด้วยกัน...ทว่า เมื่อไปถึงเมืองมูนบรู๊ค ก็กลับพบว่า ปราสาทที่เคยรุ่งเรือง ก็พังทลายด้วยน้ำมือของปีศาจจนสิ้นซาก เหลือเพียงดวงวิญญาณของพระราชา และทหารที่ยังคับแค้นใจต่ออำนาจมืดเพียงเท่านั้น...
เคราะห์ดี ที่ผู้กล้าของเรา สามารถไปตามหาไอเทมในตำนาน (ที่ภาคหลังๆถูกนำมาใช้อีกหลายตลบ) "กระจกแห่งรา" มาถอนคำสาปเจ้าหญิงแห่งมูนบรู๊ค ให้กลายร่างจากสุนัขกลับมาสู่ร่างเดิม...และทำให้ ทีมสามสายเลือดแห่งผู้กล้าโรโตะ ได้รวมตัวกันครบแล้ว !
ปัญหาสำคัญคือ นักบวชปีศาจฮาก้อน ได้ร่ายคาถาภาพลวงตาอันสุดหยั่ง ปกคลุมวิหารปีศาจของตัวเองไว้ ไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงตัวได้โดยง่าย....เหล่าผู้กล้าจึงต้องออกเดินทาง เพื่อค้นหาวิธีที่จะขจัดภาพมายาอันทรงพลังเหล่านั้นให้ได้เสียก่อน
การเดินทางในโลกกว้าง จึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง...

*: Nostalgic World
โลกทัศน์ในดรากอน เควสต์ 2 นี้ จะกว้างใหญ่ขึ้นมากกว่าภาคที่ผ่านมาร่วมสี่เท่า และมีเหตุการณ์น่าจดจำ  รวมถึงพาหนะที่ช่วยในการเดินทางที่หลากหลายขึ้น ทำให้ไม่ต้องลำบาก เดินเท้าเทียวไปเทียวมาอีกต่อไป
ดรีมทีมสายเลือดโรโตะ ได้ค้นหาผ้าคลุมสายลม และใช้มันร่อนข้ามหอคอยคู่ ไปยังทวีปอีกฟากของช่องแคบ...ได้ช่วยเหลือเด็กผู้หญิงจากการถูกมอนสเตอร์ทำร้าย จนได้รับเรือใบมาใช้ในการเดินทางสู่โลกกว้างได้สำเร็จ
เรือลำเล็ก ได้เดินทางล่องไปยังทวีปต่างๆ จนได้มาเหยียบยังดินแดนอเลฟการ์ดอันแสนคุ้นเคย...บ้านเกิดของเจ้าหญิงลอร่าแห่งลาดาตอม และบรรพบุรุษสายเลือดโรโตะ ผู้ปราบราชามังกรนั่นเอง!
------------------------ 
3. ถึงแม้สเกลของดินแดนอเลฟการ์ดจะถูกย่อส่วนลงจากภาคแรก แต่ผู้เล่นก็จะยังจำได้ดี กับสภาพภูมิประเทศที่คุ้นตา และสถานที่สำคัญหลายๆแห่ง ที่ผ่านเวลาล่วงมากว่าหนึ่งศตวรรษ
เหล่าผู้กล้าได้เดินทางไปยังปราสาทราชามังกร และได้เผชิญหน้ากับทายาทแห่งราชามังกร ผู้ไม่มีความคิดที่จะรุกรานเผ่าพันธุ์อื่นใด และได้ฝากฝังภารกิจปราบนักบวชปีศาจให้กับสายเลือดโรโตะ โดยการมอบข้อมูลสำคัญที่สุด...สปอยล์เนื้อหาหลักดรากอน เควสต์สองแบบไม่มีชิ้นดีว่า
" การจะเข้าถึงตัวนักบวชปีศาจฮากอนได้นั้น จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองจากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ รูบิส ผู้ปกปักษ์ผืนพิภพ...เพื่อการนั้น พวกเจ้าต้องรวบรวมสัญลักษณ์ทั้งห้า และใช้มันปลุกเรียกวิญญาณแห่งรูบิสเสียก่อน !! "

4. กล่าวร่ำลาคุณเหลนราชามังกรเสร็จสรรพ เหล่าผู้กล้าก็ออกเดินทางต่อโดยไม่รอช้า และได้ค้นพบไอเทมสำคัญ "ขลุ่ยเสียงสะท้อน" จากภารกิจกู้สมบัติใต้ท้องทะเล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ในการค้นหาสัญลักษณ์ทั้งห้าที่กระจายอยู่ทั่วโลก
ขลุ่ยเสียงสะท้อน เป็นไอเทมศักดิ์สิทธิ์ ที่จะเปล่งเสียงกังวาน สอดรับกับสัญลักษณ์ทั้งห้า...เมื่อผู้กล้าเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมือง ปราสาท คุกใต้ดิน หอคอยร้าง วิหารโบราณ เกาะโดดเดี่ยว และอื่นๆ...หากเป็นสถานที่ที่มีสัญลักษณ์ซุกซ่อนอยู่ เมื่อลองเป่าขลุ่ยนี้แล้ว จะมี "เสียงสะท้อน" ก้องตอบกลับมา เป็นสัญญาณบอกว่า เป้าหมายอยู่ไม่ไกลแล้วนั่นเอง !!
ภารกิจตามล่าตราสัญลักษณ์แห่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดารา วารี และชีวิต ก็ดำเนินต่อไป...หลังจากการเดินทางต่อสู้อย่างยากลำบาก...ทั้งการฝ่าดงศัตรู เขาวงกต หอคอยสูง ลานประลอง และอื่นๆ...เหล่าผู้กล้าได้ใช้กุญแจเงิน กุญแจทอง เปิดไขเส้นทางลับมากมาย จนได้รับหินแสงจันทร์ ที่สามารถดึงระดับน้ำทะเลให้ขึ้นสูง แล่นเรือฝ่าดงปะการัง เข้าไปยังถ้ำลับกลางท้องทะเล เพื่อค้นหาเทวรูปปีศาจ....และนำมันมาเปิดปากทางลับกลางขุนเขา เข้าไปรับตราสัญลักษณ์ชิ้นสุดท้ายได้สำเร็จ !
เมื่อนำตราทั้งห้าไปยังวิหารแห่งรูบิส วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกปลุกขึ้นมาในที่สุด...เทพรูบิสรับรู้เรื่องราวโดยตลอด พร้อมกับกล่าวถึง "คำสัญญา" ที่ตนเคยให้ไว้กับผู้กล้าโรโตะในอดีตกาล และมอบ "ตราแห่งรูบิส" ไว้ขจัดเวทย์ลวงตาของนักบวชปีศาจ พร้อมกับอวยชัยให้กับเหล่าผู้กล้า ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่กำลังจะมาถึง...
---------------------------------- 
*: Past 
อะฮ่า ! เทพรูบิส กับผู้กล้าโรโตะออริจินอล...ดูจะมี something wrong และคำสัญญาบางอย่างกันอยู่ !...รายละเอียดเหล่านั้น ตัวเกมส์ในภาคหลัง จะมีการขยายความอีกเล็กน้อย...แต่หากต้องการรับรู้เรื่องราวแบบ inside ที่จับเอาความสัมพันธ์ในเรื่องเล่าเหล่านั้น มาแตกหน่อเป็นเอกเทศ ต้องอ่าน ดรากอน เควสต์ ภาครูบิส (ลิขสิทธิ์ไทย สนพ.วิบูลย์กิจ ทั้งชุด 7 เล่มจบ) ครับ
เนื้อหาว่าด้วยพระเจ้าผู้สร้างโลก และเผ่าพันธ์เทพต่างๆ...รวมไปถึงรูบิส หญิงสาวแห่งตระกูลธาตุไฟ กับโรโตะ หนุ่มลูกครึ่งตระกูลธาตุดินกับมนุษย์ธรรมดา...แม้ลายเส้นจะออกแนวการ์ตูนผู้หญิง แต่เรื่องราวความรักที่ทั้งหวานซึ้งและน้ำเน่า การพลัดพราก การช่วงชิง และการปะทะกันของเหล่าทวยเทพ ก็ถือเป็นไซด์สตอร์รี่ที่น่าประทับใจ และแฟนๆควรหามาอ่านอีกเรื่องเลยทีเดียว
 
----------------------------------
5. เหลือขั้นตอนเตรียมการอีกไม่มาก ก่อนการปะทะกันจะมาถึง...ทีมทรีโอ ได้ตระเตรียมอุปกรณ์ในตำนานทั้งหลายอย่างพร้อมสรรพ ทั้งชุดเกราะแห่งโรโตะ (เวอร์ชันฟูลคอร์ส ทั้งดาบ โล่ห์ หมวก เกราะ และสัญลักษณ์สายเลือด !) เสื้อคลุมนางฟ้า (ที่ถักทอจากเครื่องทอเวทย์ กับด้ายหยาดฝน โดยช่างทอผ้ายอดฝีมือ) และดาบสายฟ้า (ที่เรียกขานเวทย์ศักดิ์สิทธิ์จากฟากฟ้าได้ดังต้องการ) ฯลฯ
ทั้งสามมุ่งสู่วิหารแห่งจอมปีศาจ และใช้ตราแห่งรูบิส ขจัดภาพลวงตาให้มลายหายไป ก่อนจะบุกทะลวง เข้าถึงตัวนักบวชปีศาจชนิดไม่ทันตั้งตัว และกำจัดฮากอนได้เป็นผลสำเร็จ !!!
ฮากอนตกตะลึงในความแข็งแกร่งของสายเลือดในตำนานเป็นอย่างมาก แต่ก่อนจะสิ้นลม แผนการลับสุดท้ายของนักบวชปีศาจก็เสร็จสิ้นลงพอดิบพอดี...เทพเจ้าแห่งการทำลายล้าง ชิโด้ ได้ถูกปลุกขึ้นมาจากโลกปีศาจเป็นที่เรียบร้อย ! ผู้กล้าแห่งโรโตะ เตรียมรับมือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายทันที !!
 
*: Finale
ชิโด้ถูกปราบลงในที่สุด สันติสุขกลับคืนสู่ผืนดิน...ผู้กล้าทั้งสามได้เดินทางกลับบ้านเกิด และได้รับเสียงโห่ร้อง แสดงความยินดีตลอดเส้นทาง ทั้งชาวเมือง ทหาร ราชา เทพเจ้ารูบิส และราชามังกร...ไม่มีผู้ใดไม่ปลาบปลื้ม ไปกับพลังความดีงามอันยิ่งใหญ่ ของสามผู้สืบทอดสายเลือดแห่งผู้กล้าโรโตะ
...และแล้ว การผจญภัยอันยาวนานก็สิ้นสุดลง เจ้าชายแห่งโรเลเซีย ได้ขึ้นรับตำแหน่งพระราชาคนใหม่ และพระญาติ เจ้าชายแห่งซามัลโทเรีย และเจ้าหญิงแห่งมูนบรู๊ค ก็กลับไปยังแผ่นดินเกิด ปกครองบ้านเมืองด้วยความสันติสุขสืบไป
~ Dragon Quest II ~
~ Fin ~

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Dragon Quest Reminiscence

Dragon Quest Reminiscence
~ Part I ~



1. " ลูกหลานแห่งโรโตะเอ๋ย จงฟังคำข้า...
เรื่องเล่าแต่บรรพกาล กล่าวขานกันมาถึงผู้กล้าโรโตะ ที่ใช้ลูกแก้วแห่งแสงสว่างจากพระเจ้า เข้าต่อสู้กับปีศาจร้าย นำความสงบสุขมาสู่ผองเรา...
ทว่า ถึงตอนนี้ ราชามังกรได้ปรากฎกายขึ้น และช่วงชิงลูกแก้วแห่งแสงสว่างไป...ความมืดก็ได้บดบังผืนดิน ผู้คนเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า...
เอาล่ะ !! เจ้าจงช่วยเหลือพวกเรา ออกเดินทางเพื่อกำจัดมารร้าย ชิงลูกแก้วแห่งแสง และนำสันติสุขกลับคืนมาเถิด !! "
*: Intro
...ข้อความดังกล่าว เป็นประโยคเปิดเรื่องของดรากอน เควสต์ ภาคแรก ที่วางจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อพฤษภาคม ปี 1986 และเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานการตามล่ามังกร อีกมากมายหลายบท ตลอดสองทศวรรษหลังจากนั้น
ในยุคบุกเบิกของเครื่องคอนโซล เกมส์แนว 2 มิติตะลุยด้านข้าง (ดังเช่น Mario / Rockman /Adventure island ) กำลังครองตลาดของวงการเกมส์อยู่ เกมส์ส่วนมาก จะมีรูปแบบการเล่นที่เข้าใจง่ายพอ ที่ผู้เล่นจะใช้เวลาในการศึกษาไม่นานนัก ก็สามารถเข้าใจภาพรวมของเกมส์ได้จนปรุโปร่ง
ทว่า สำหรับเกมส์ RPG ( Role Playing Game) หรือที่เรียกติดปากว่า'เกมส์ภาษา'แล้ว จะพยายามสร้างความรู้สึกว่า ตัวผู้เล่นเอง ได้ "สวมบทบาท" เป็นตัวละครนั้นๆ ออกเดินทางในโลกกว้างจริงๆ...บ่อยครั้ง ที่การเดินทางเริ่มต้นด้วยเป้าหมายหลักหลวมๆที่ดูเลื่อนลอย และเหมือนถูกจับโยนเข้ามาท่ามกลางวิกฤติการณ์ และไม่มีคำแนะนำอื่นใดอีก

หัวใจสำคัญอันดับแรก ที่ตัวผู้กล้า(และตัวผู้เล่น)ต้องเรียนรู้ คือการออกหาข้อมูล และพูดคุยกับผู้คนตามสถานที่ต่างๆ เพื่อรับฟังข้อมูลสำคัญ ที่จะแฝงตัวอยู่ในรูปแบบของ"เศษเสี้ยว"บทสนทนาสั้นๆ เป็นท่อนๆ ที่ผู้พูด พร้อมจะพูดซ้ำๆให้ฟังได้ไม่รู้เบื่อ
"ท่านต้องหมั่นต่อสู้กับศัตรูตามรายทาง เพื่อเก็บสั่งสมประสบการณ์นะ"
"หากเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ ก็กลับเข้าเมือง และแวะไปพักผ่อนที่โรงแรมซะสิ"
"หากเก็บสะสมเงินได้มากพอ อย่าลืมเปลี่ยนไปซื้ออาวุธที่ดีกว่าเดิมล่ะ"
"ถ้าต้องการจะพักการเดินทางไว้ชั่วคราว ก็กลับไปคุยกับพระราชาก่อนสิ"
ฯลฯ
-------------- 
*: System
ระบบพื้นฐานหลายๆอย่าง เป็นประเด็นที่น่าขำ ไม่ว่าจะเป็นพูดจาซ้ำไปซ้ำมาของตัวละคร การมีกรอบวินโดว์ขึ้นมาอธิบายการกระทำของตัวละคร (*: ผู้กล้าถูกโจมตีอย่างแรง ผู้กล้าตะลึงงัน !) การมุดเข้าบ้านคนอื่นหน้าตาเฉย เปิดตู้ คุ้ยไห ค้นหีบของชาวบ้าน ขโมยของไปเป็นสมบัติส่วนตัว การต้องคอยกลับมาคุยกับพระราชาลาดาตอม ซึ่งเป็นที่เซฟเกมส์เพียงแห่งเดียว (สร้างความลำบากในการเดินทางอย่างมาก !) ฯลฯ
...แต่ทั้งหลายเหล่านั้น ก็ล้วนเป็นที่จดจำ กลายมาเป็น "เอกลักษณ์" ของซีรีย์เรื่อยมา ใครเห็นก็ต้องนึกออก และยังถูกล้อเลียนในการ์ตูน และสื่อต่างๆมากมาย
---------------
 
 กูรุ กูรุ คาถาพาต๊อง (ลิขสิทธิ์ไทย สนพ.วิบูลย์กิจ ทั้งชุด 16 เล่มจบ) การ์ตูนแฟนตาซี คอมเมดี้ ที่จับเอาเอกลักษณ์ในเกมส์ RPG มายำใหญ่ ล้อเลียนได้อย่างไม่มีแก่นสาร และฮาสะบัด
---------------
และเมื่อเริ่มเข้าใจภาพรวมของระบบเกมส์ได้แล้ว ผู้เล่นก็จะเริ่มค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับท้องเรื่อง เพื่อจะได้ตั้งหลัก กำหนดเป้าหมายตัวเองได้ชัดเจนขึ้นว่า นอกจากคำสั่งที่จู่ๆก็ยัดเยียดให้เราในวินาทีแรกของเกมส์ว่า "จงไปปราบราชามังกร" และ "กอบกู้โลกซะ" นั้น ควรจะต้องทำอย่างไร
ราวกับเป็นการประชดประชันสิ้นดี ที่ปราสาทราชามังกร ปลายทางสุดท้ายนั้น ตั้งตระหง่านอยู่อีกฟากของทะเล ไม่ไกลจากปราสาทลาดาตอม จุดเริ่มต้นของการเดินทางเลยซักนิด...หากแต่ว่า ตัวผู้กล้าไม่สามารถที่จะข้ามผืนทะเลไปได้โดยง่าย...ไม่ต้องนับว่า นี่เป็นดรากอน เควสภาคแรกของซีรีย์ ที่ไม่ได้มี"พาหนะ" เพิ่มเติมอะไรให้กับผู้กล้าของเราแม้แต่อย่างเดียว !
...ดังนั้น ตลอดทั้งเกมส์ ตัวเราต้องได้แต่เดินเท้า เทียวไปเทียวกลับปราสาทลาดาตอมนับครั้งไม่ถ้วน และชายตาละห้อย มองปราสาทราชามังกรที่เห็นตั้งแต่ห้านาทีแรกของเกมส์ ทั้งๆที่ทำอะไรไม่ได้...หากเงี่ยหูฟังซักนิด อาจได้ยินเสียงผู้กล้าบ่นอุบอิบว่า " นอนคอยไปก่อนเถอะนะ ราชามังกร..." ก็เป็นได้

2. ลูกหลานแห่งโรโตะ หรือผู้กล้าของพวกเรานั้น เริ่มออกเดินทางจากปราสาทลาดาตอม และไล่ตามปูมบันทึกของบรรพบุรุษ จนได้ไปพบกับแผ่นศิลา คำสั่งเสียจากผู้กล้าโรโตะ ถึงลูกหลานตัวเอว่า ในสมัยที่ตัวเขาได้ต่อสู้กับราชาปีศาจนั้น ได้รวบรวมไอเทมพิเศษทั้งสามชิ้น เพื่อสร้าง "เส้นทาง" ไปสู่ปราสาทแห่งเกาะมังกรได้ในที่สุด...หลังจากนั้นแล้ว เขาได้แยกไอเทมทั้งสาม กระจายฝากไปยังผู้พิทักษ์ที่ไว้ใจได้ทั้งสามคน และเชื่อว่า ลูกหลานของคนเหล่านั้น จะต้องส่งมอบไอเทมนั้น จากรุ่นสู่รุ่น เพื่อรอวันที่ผู้กล้าในยุคสมัยหนึ่ง จะเรียกใช้มันอีกครั้ง...
หลังจากได้ฟังสปอยล์เนื้อหาเกมส์จากท่านบรรพบุรุษแล้ว เป้าหมายจึงชัดเจนขึ้น...ครับ เนื้อหาหลักของดรากอน เควสต์ ภาคแรกนี้ จึงโฟกัสอยู่ที่การไล่ตามหาไอเทมในตำนานทั้งสามชิ้น ที่แสนจะคุ้นหูแฟนๆซีรีย์...อันได้แก่ "สัญลักษณ์แห่งโรโตะ" "ไม้เท้าเมฆฝน" และ "หินแสงอาทิตย์" นั่นเอง

*: Adventure
ทว่า การเดินทางปราบราชามังกรนี้ ใช่ว่าจะราบรื่นตลอดศก เดินเปรี้ยวมากไป ข้ามสะพานไปยังทวีปใหม่ ก็อาจโดนศัตรูเก่งๆตบดับได้ง่ายๆ...เพราะจุดเด่นสำคัญของดรากอนเควสต์หลายยุคหลายสมัยนั้น คือการขึ้นชื่อในเรื่อง "ความถึก" ที่ผู้เล่นต้องเดินวนไปวนมาเป็นชั่วโมงๆ เพื่อ "เก็บเลเวล" พัฒนาความสามารถของตัวละคร...ตามแนวคิดที่ว่า ตัวเราออกเดินทางสู่โลกกว้าง ควรจะได้มีพัฒนาการสมจริง ที่จะเติบโต และปราบเหล่าศัตรูได้ง่ายดายขึ้น
การคิดแต้ม "ประสบการณ์" มาสะสมไว้จนถึงจุดหนึ่ง เพื่อให้เราพัฒนาขึ้นเป็นระยะๆ มีพลังโจมตี พลังป้องกันที่สูงขึ้น หรือกระทั่งเรียนรู้เวทย์มนตร์ ทักษะใหม่ๆ จึงเป็นหัวใจสำคัญอีกข้อ ที่เกมส์ภาษาทั้งหลายใช้มาจนถึงปัจจุบัน
...เช่นเดียวกับการต่อสู้ของเหล่าโกลเซนต์ ที่ต้องเป็นหนึ่งต่อหนึ่งเสมอ...ดรากอนเควสหนึ่งเอง ก็ไม่ต่างกัน เพราะนี่เป็นภาคปูพรม ที่ต้องการวางรากระบบพื้นฐานของเกมส์ภาษา (ที่เคยซับซ้อนเกินไปสำหรับคนตะวันออก) ให้คุ้นเคยเหมือนกับที่คนตะวันตกเล่นกันมานานปี...ภาคแรกของซีรีย์นี้ จึงจะเป็นการต่อสู้แบบเรียบง่าย ของผู้กล้าหนึ่งคน กับศัตรูหนึ่งตัวเสมอ
....เมื่อเราเดินในฉากสนาม อันได้แก่ ทุ่งหญ้า ป่า บึงพิษ ทะเลทราย ถ้ำ และอื่นๆ เราก็จะมีโอกาส " Encounter" แรนด้อมเจอศัตรูขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เช่น สไลม์เด้งดึ๋งสีฟ้า พ่อมดในผ้าคลุม โกลแมนด์อิฐยักษ์ที่ทำด้วยทอง ซอมบี้ฮอร์คจอมอ๊วก โดรากี้ค้างคาวสีดำ และอื่นๆอีกมาก ซึ่งหลายตัวก็กลายเป็นเทรดมาร์คสำคัญของซีรีย์ ที่ยังคงปรากฎโฉมมาอย่างสม่ำเสมอ หรือกระทั่งมีสินค้า การ์ตูน และเกมส์เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ !
 
3. ปริศนาที่โยงกันเป็นลูกโซ่ก็ดำเนินต่อไป...ผู้กล้าของเรา เดินทางฝ่าฟันทั่วดินแดนแห่งอเลฟการ์ด ค้นหาพิณสีเงินที่ถูกนำไปซ่อน เพื่อไปแลกขลุ่ยนางฟ้า และใช้มันในการเป่าสะกดโกเลมยักษ์ใหญ๋หน้าเมืองให้หลับลง และเดินทางต่อ เพื่อค้นหาที่ซื้อกุญแจเวทย์มนต์ สินค้าชิ้นสำคัญ ที่สามารถกลับไปเปิดประตูลับมากมาย ที่เราเดินผ่านมาตลอดเกมส์ได้ในที่สุด...เราสามารถตระเวนเก็บข้าวของดีๆ ช่วยเหลือเจ้าหญิงลอร่าแห่งลาดาตอมที่ถูกคุมขัง หรือกระทั่ง ค้นพบหินแสงอาทิตย์ หนึ่งในไอเทมสำคัญ ที่อยู่ในห้องลับปราสาทลาดาตอม ใต้จมูกของเรานั่นเอง !!
หลังจากการเดินทางอันแสนยากเย็น ผู้กล้าของเราก็สามารถรวบรวมไอเทมทั้งสามชิ้นได้จนครบ และเดินทางไปพบกับนักปราชญ์แห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ที่จะยอมรับตัวเราในฐานะลูกหลานแห่งผู้กล้า ผู้ครอบครองตราสัญลักษณ์แห่งโรโตะ และกล่าวย้ำตำนานเล่าขาน
"เมื่อสายฝนและแสงแดดสอดประสานกัน สายรุ้งจักบังเกิด เปิดเส้นทางพิชิตจอมมาร"
...พลังแห่งไม้เท้าเมฆฝน และหินแสงอาทิตย์ของเรา ก่อกำเนิดเป็น "ลูกแก้วสายรุ้ง" ในที่สุด !!! ไอเดียโรแมนติคซะไม่มี !!
 
ผู้กล้าได้ตามรอยเท้าบรรพชน เดินทางไปยังแหลมเบื้องหน้าเกาะมังกร และเรียกใช้ลูกแก้วสายรุ้ง เกิดเป็นสะพานสายรุ้ง ทอดไปยังปราสาทราชามังกร...และก่อนหน้าศึกครั้งสุดท้าย ผู้กล้าของเรา ก็ไม่ลืมที่จะได้รับคำอวยพรจากเจ้าหญิง คำอวยชัยจากพระราชา พร้อมทั้งตามหาเซตอุปกรณ์โรโตะในตำนาน อันได้แก่ ดาบโรโตะที่ตัดได้แม้กระทั่งเกล็ดมังกร และเกราะโรโตะที่ป้องกันเปลวไฟที่ร้อนแรงที่สุด...เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ ก็ถึงเวลาเผชิญหน้ากับราชามังกร ผู้นำดินแดนอเลฟการ์ดเข้าสู่กลียุค !!
ราชามังกร ถูกใจความสามารถของผู้กล้าอย่างมาก ได้ตัดสินใจยื่นข้อเสนอที่ยิ่งใหญ่ และสมเกียรติที่สุด ให้กับผู้กล้าแห่งโรโตะเช่นเรา...จนเกิดเป็นวรรคทองอมตะ คำพูดสำคัญประจำซีรีย์ที่ว่า...
"หากเจ้ายอมมาเป็นพวกข้า ข้าจะยกโลกให้เจ้าครึ่งหนึ่ง ตกลงไหม?"
----------------
*: Cross over
ในการ์ตูนดรากอน เควสต์ ภาค ไดตะลุยแดนเวทย์มนตร์ (ลิขสิทธิ์ไทย ของสำนักพิมพ์ SIC ทั้งชุด 34 เล่มจบ) ที่แตกยอดคาแรกเตอร์ดีไซน์ของดรากอนเควสไปจนไม่เหลือเค้าเดิม(และได้ดิบได้ดีเสียด้วย)นั้น...เมื่อเนื้อหาเข้าสู่ช่วงก่อนไคลแมกซ์ ก็ได้มีการหยิบยกวรรคทองนี้มาใช้ และได้รับกระแสตอบรับที่ฮือฮาในหมู่แฟนๆ ซึ่งผมเองก็คิดว่า เป็นไอเดียบรรเจิด ที่อ่านกี่ทีก็ยังเรียกรอยยิ้มได้...กับคำเชิญชวนคุ้นหูของจอมราชาปีศาจเวิร์นผู้นี้
 
4. ในเกมส์ดรากอนเควสนี้ หากเลือกตอบ "Yes" ไป เกมส์ก็จะจบลงตรงนั้น แต่ในฐานะผู้กล้า ย่อมต้องตอบ "No" เป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้อย่างหลีกเลี่ยงไมได้ !! และใช้เวลาไม่นานนัก ราชามังกรก็ถูกกำจัดในที่สุด !...ทว่า เจ้าแห่งปีศาจ ไม่ได้เป็นชื่อที่ตั้งไว้โก้ๆ...ราชามังกร แปลงร่างเป็นมังกรตัวใหญ่ยักษ์ เข้าฟาดฟันกับผู้กล้าอีกครั้ง !
เมื่อมังกรยักษ์สิ้นลม ลูกแก้วแห่งแสงก็ร่วงหล่นลงมา...เป็นธรรมเนียมประจำซีรีย์ ที่จะไม่มีการตัดเข้าสู่ฉากจบ ให้คนเล่นพักผ่อนสบายๆหลังปราบบอสใหญ่โดยทันที ...ผู้กล้าดรากอนเควสของเรา ยังต้องเดินทางนำลูกแก้วแห่งแสง กลับคืนสู่มือของเจ้าของเสียก่อน...คาถาลูร่า จึงเป็นตัวเลือกที่ดี ที่ใช้วาร์ปกลับมายังปราสาทลาดาตอม สถานที่ส่งท้ายภารกิจกอบกู้โลก
เบื้องหน้าพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้กล้าตอบปฎิเสธข้อเสนออีกครั้ง ไม่รับตำแหน่งราชา แต่จะออกเดินทางค้นหาดินแดนที่เหมาะสม ด้วยตัวเองต่อไป
ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง แสดงความยินดีจากชาวเมือง เสียงแตรขับขานของเหล่าทหาร ที่อวยชัยการเดินทางครั้งใหม่ของเรา และรอยยิ้มส่งลาของพระราชานั้น ยังไม่ได้ปิดฉากการเดินทางของผู้กล้าของเราอย่างสมบูรณ์...เจ้าหญิงลอร่า วิ่งตามผู้กล้าของเรา และเสนอตัว ขอร่วมการเดินทางของผู้กล้าไปอีกคน
การผจญภัยครั้งใหม่ ของผู้กล้าแห่งโรโตะ...ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
~ Dragon Quest I ~
~ Fin ~